การตลาด
สกู๊ป : โซนี่ปลุกธุรกิจสื่อปั้น โซนี่ พิคเจอร์ เอ็นเตอร์เทรเม้นท์ ปลุกตลาดหนัง


ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักเหมือนกับเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา สำหรับอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทย เนื่องจากตลาดหลักที่สร้างรายได้และสามารถเก็บตัวเลขเม็ดเงินจากการดูหนังได้ยังคงอยู่ที่ 2 จังหวัดหลัก คือ กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ส่วนที่เหลืออีก 75 จังหวัด ยังคงเป็นระบบสายหนัง ซึ่งไม่สามารถเก็บตัวเลขจากการเข้าชมภาพยนตร์ที่เข้าฉายได้  

นอกจากนี้ ปัจจัยลบเศรษฐกิจที่รุมเร้า ประกอบกับการแข่งขันของธุรกิจโรงหนังยังคงมีความรุนแรง แม้ว่าจะเหลือผู้เล่นรายหลักเพียง 2 ราย แต่เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคไม่เอื้อ ประกอบกับปัจจุบันผู้บริโภคหันมาดูหนังผ่านช่องทางออนไลน์ และหนังละเมิดลิขสิทธิ์มากขึ้น จึงทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจโรงหนังยังคงต้องเน้นทำการตลาดโดยการลดราคาตั๋วหนัง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามาดูหนังในโรงหนัง

จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้คาดการณ์กันว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทยปีนี้น่าจะเติบโตได้แค่เพียง 2-3% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 4,600 ล้านบาทเท่านั้น  ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตในระดับเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา และจากผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันอุตสาหกรรมหนังในประเทศมาเลเซียขยับแซงหน้าประเทศไทยขึ้นไปเป็นที่ 1 ของผู้บริโภคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกในประเทศมาเลเซียมีการขยายตัว และรูปแบบการทำธุรกิจเน้นไปที่การขายตรงมากกว่าสายหนัง จึงทำให้เก็บมูลค่าอุตสาหกรรมหนังได้ครบถ้วนกว่าประเทศไทย

อย่างไรก็ดี  หากผู้ประกอบการธุรกิจโรงหนังของไทยไม่ว่าจะเป็นโรงหนังในเครือเมเจอร์ หรือโรงหนังในเครือเอสเอฟเร่งเดินหน้าขายธุรกิจโรงหนังในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น  เพื่อกระตุ้นให้คนต่างจังหวัดหันมาดูหนังในโรงหนัง  ควบคู่ไปกับการลดบทบาทของการทำธุรกิจแบบสายหนัง เชื่อว่าอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทยต้องกลับมาเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักเหมือนกับเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ จากโอกาสที่คนต่างจังหวัดที่เริ่มหันมาดูหนังต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทางค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส สตูดิโอ จึงเล็งเห็นโอกาสที่จะเข้ามาปลุกตลาดหนังในประเทศไทยให้มีความคึกคักมากขึ้น ด้วยการแยกตัวออกมาจากโคลัมเบีย ไทรสตาร์ บัวนา วิสต้า หรือ ซีทีบีวี  เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ  เนื่องจากในอนาคตมีแผนที่จะเปิดตัวแผนกธุรกิจทางด้านคอนเทนต์เข้าไปทำตลาดในช่องทางทีวี ควบคู่ไปกับการเปิดตัวแผนกธุรกิจทางด้านการซื้อขายสื่อโฆษณา

สำหรับในส่วนของธุรกิจจัดจำหน่ายหนังให้กับโรงภาพยนตร์นั้น จะดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายคอนเทนต์ให้กับทีวี จะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท โซนี่ เทเลวิชั่น จำกัด และธุรกิจซื้อขายสื่อโฆษณา จะดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท  โซนี่ เทเลวิชั่น เน็ตเวิร์ค จำกัด

นายรชต ธีระบุตร กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในส่วนของการจัดจำหน่านหนังให้กับโรงภาพยนตร์ในปีนี้ จะมีทั้งหมด 20 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีการนำหนังมาจำหน่ายเพียง 15 เรื่องเท่านั้น เนื่องจากปีนี้มีหนังฮอลีวู้ดเข้าฉายเป็นจำนวนมาก  โดยในส่วนของ 7 เดือนที่ผ่านมามีการนำหนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไปแล้วประมาณ 11 เรื่อง เหลืออีก 9 เรื่องที่จะนำเข้าฉายในช่วง 4-5 เดือนที่เหลือของปีนี้

ในส่วนของหน่วยงานหลักในการดูแลกิจการประกอบธุรกิจผลิตหนังในสังกัดนั้นมีด้วยกัน 6 ราย ประกอบด้วย โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ,สกรีนเจมส์ ฟิล์ม ,ไทนสตาร์ พิคเจอร์ส ,โซนี่ พิคเจอร์ส คลาสสิค ,โซนี่ พิคเจอร์ส แอนิเมชั่น สตูดิโอ และโซนี่ พิคเจอร์ส เวิล์ดไวด์ แอ็กควิซิชั่น 

ภาพรวมหนังที่เหลืออีก 9 เรื่องที่จะนำมาฉายในช่วงเวลาที่เหลือนี้ ประกอบด้วย เรื่อง Baby Driver จี้ (เบ)บี้ปล้น เป็นหนังแนวแอ็คชั่น-ทริลเลอร์  เรื่อง Flatliners ขอตายวูบเดียว จะเป็นหนังแนวทริลเลอร์  เรื่อง Blade Runner จะเป็นหนังแนวแอ็คชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์  และเรื่อง Jumanji : Welcome to the Jungle จูแมนจี้ เกมดูดโลกบุกป่ามหัศจรรย์ จะเป็นหนังแอ็คชั่น-แอดเวนเจอร์ เป็นต้น

นอกจากจะมีการนำหนังกระแสจากฮอลิวูดเข้ามาฉายในประเทศไทยแล้ว ในปีนี้ โซนี่ พิคเจอร์ฯ ยังได้นำหนังนอกกระแสเข้ามาฉายในโรงหนังเฉพาะกลุ่มอย่างเฮ้าส์อาร์ซีเอ และลิโด้  เพื่อปลุกกระแสให้คนไทยหันมาให้ความสนใจหนังนอกกระแสมากขึ้น เนื่องจากมีหลายเรื่องที่ได้รับรางวัล

นายรชต กล่าวว่า ในช่วงเดือนมิ..-..ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจับมือร่วมกับโรงหนังเฮ้าส์อาร์ซีเอ จัดแคมเปญ SONY@HOUSE  หนัง 2 เรื่อง คือ T2:Trainspotting และ 20th Century Women ซึ่งก็ได้ผลการตอบรับที่ดี และในช่วง 5 เดือนที่เหลือนี้จะนำมาฉายอีก 3 เรื่อง  คือ Brigsby Bear ,Professer Marston&The Wonder Women และ Call Me By Your Name  ซึ่งหากบริษัทสามารถปลุกกระแสหนังนอกกระแสให้ได้รับความนิยมได้ เชื่อว่าโรงหนังค่ายใหญ่และผู้ชมจะหันมาให้ความสนใจหนังกลุ่มนี้แน่นอน

หลังจากเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โซนี่ พิคเจอร์สฯคาดว่าสิ้นปี 2560 นี้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 ที่ประมาณ 80% เนื่องจากจำนวนหนังที่นำมาฉายเพิ่มขึ้น และมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทำไปได้แล้วประมาณ 490 ล้านบาท จึงทำให้ โซนี่ พิคเจอร์สฯ มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน 

ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวถือเป็นการทุบสถิติรายได้สูงสุดที่บริษัท โซนี่ พิคเจอร์สฯ เคยทำไว้เมื่อปี 2555 ซึ่งตอนนั้นมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 770 ล้านบาท


บันทึกโดย : วันที่ : 11 ส.ค. 2560 เวลา : 21:35:54
26-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 26, 2024, 3:31 pm