เตรียมแผนรับมือกันไว้พอสมควรสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลังภาครัฐมีแผนที่จะประกาศใช้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 แม้ว่าเนื้อหาของ พ.ร.บ.ฉบับใหม่จะมุ่งเน้นไปที่การจัดระเบียบความเรียบร้อยของธุรกิจและลดความเหลื่อมล้ำในการเลือกปฏิบัติต่อผู้ประกอบการ แต่ผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ก็ยังมีความกังวลกับ พ.ร.บ.ใหม่ฉบับนี้ เพราะถ้าหากภาครัฐไม่สามารถปฏิบัติได้ตามพันธะสัญญาที่ได้ประกาศไว้ ผลกระทบต้องเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการบางกลุ่มอย่างแน่นอน
สำหรับพันธะสัญญาของภาครัฐในการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตที่ได้ประกาศไว้มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อหลัก คือ 1.ภาษีใหม่ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 16 ก.ย. นี้ จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรม นำเข้า และผู้บริโภค 2.การจัดเก็บภาษีมีความชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน 3.มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี มิใช่การเพิ่มภาษี
ส่วนสาระสำคัญที่ทำให้ภาครัฐตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีในครั้งนี้ เพื่อลดความเหลื่มล้ำในการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประกอบด้วย 5 เหตุผลหลัก คือ 1. ฐานในการคำนวณภาษีด้านราคา จากเดิมคิดตามราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็นราคาขายปลีกแนะนำ ซึ่งเป็นราคาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคทั่วไปในตลาดปกติ 2. อัตราภาษีที่เรียกเก็บ ยังคงเป็น 2 อัตรา แต่เปลี่ยนจากการเน้นเก็บตามมูลค่าสินค้า เป็นเน้นการจัดเก็บตามปริมาณดีกรีแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อการพัฒนาคุณภาพสุราและควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีดีกรีสูงและส่งผลต่อสุขภาพ
3. ใบอนุญาตขายสุรา จากเดิม 7 ประเภท เหลือเพียง 2 ประเภท คือ ขายปลีกและขายส่ง เพื่อลดความซ้ำซ้อน 4. เพดานของอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา ตลอดจนผลิตและนำเข้า เพิ่มขึ้น 10 ถึง 25 เท่า และ 5. เพิ่มบทลงโทษสุราผิดกฎหมาย เพื่อลดปัญหาสินค้าผิดกฎหมาย โดยสุราทุกชนิดที่นำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรจะต้องมีหลักฐานการเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวจากผู้ผลิตในต่างประเทศหรือผู้มีสิทธิ์ในตราสินค้า
นายธนากร คุปตจิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทเชื่อมั่นว่า พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 นี้ จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ภาคเอกชน ลดปัญหาสุราผิดกฎหมาย คือ สุราปลอมแปลงและลักลอบนำเข้า และลดปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นอันตราย ด้วยอัตราภาษีที่กระทรวงการคลังกำหนดอัตราต่ำกว่าสำหรับสุราที่มีปริมาณดีกรีต่ำกว่าจึงกระทบต่อสุขอนามัยผู้บริโภคน้อยกว่า
ทั้งนี้ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิตฯ ที่สำคัญ ดิอาจิโอฯ มุ่งหวังให้การปฏิรูปในครั้งนี้ ส่งผลให้สามารถควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และลดปัญหาการดื่มที่เป็นอันตรายได้ผลจริง เช่นเดียวกับในต่างประเทศ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ดิอาจิโอฯ ในเรื่องแอลกอฮอล์กับสังคมที่เชื่อว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้ หากคนในสังคมมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการดื่มอย่างรับผิดชอบ
อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความาชัดเจนในด้านของอัตราการจัดเก็บภาษี ประกอบกับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีความกังวลว่าอัตราภาษีใหม่ที่จะประกาศจัดเก็บจะมีอัตราการเพิ่มขึ้น เท่าเดิม หรือลดลง เพื่อความไม่ประมาท ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งเริ่มออกมาปรับกลยุทธ์ในการทำตลาด ด้วยการปรับสูตรเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่ไปกับการปรับลดปริมาณดีกรีในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการจัดเก็บภาษีใหม่ที่อาจส่งผลกระทบ
สำหรับอัตราภาษีใหม่ที่จะมีการเรียกเก็บในวันที่ 16 ก.ย.นี้ จะเป็นการจัดเก็บในรูปแบบราคาขายปลีกแนะนำ ซึ่งต่างไปจากเดิมที่จะจัดเก็บในรูปแบบราคาขายส่งช่วงสุดท้าย และหากมองย้อนกลับไปเมื่อก่อนวันที่ 6 ก.ย.2556 นั้น การจัดเก็บภาษีจะมีการแยกระหว่างสุราในประเทศ และสุรานำเข้า โดยในส่วนของสุราในประเทศจะมีการจัดเก็บแบบราคาหน้าโรงงาน ขณะที่สุรานำเข้าจะจัดเก็บในรูปแบบราคานำเข้าบวกภาษีศุลกากรขาเข้า
ต่อมาวันที่ 6 ก.ย.2556 มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรูปแบบใหม่ เป็น ราคาขายส่งช่วงสุดท้ายไม่รวม VAT ซึ่งรูปแบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าวได้มีการนำมาปฏิบัติใช้จนถึงปัจจุบัน และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันที่ 16 ก.ย. 2560 นี้เป็นต้นไป รูปแบบการจัดเก็บภาษีจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็น ราคาขายปลีกแนะนำ ไม่รวม VAT พิจารณาจากต้นทุนการผลิตบวกค่าบริหารจัดการบวกกำไรมาตรฐาน
จากการปรับเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีเป็นราคาขายปลีกแนะนำ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการตั้งคำถามว่า ราคาขายปลีกแนะนำ มีการตีความหมายอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นมีการตีความหมายข้อกำหนดดังกล่าวไว้ดังนี้ คือ ราคาขายปลีกแนะนำ หมายความว่า ราคาขายปลีกแนะนำที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือผู้นำเข้าประสงค์ให้เป็นราคายขายต่อผู้บริโภคทั่วไป โดยพิจารณาจาก ต้นทุนการผลิต ค่าบริหารจัดการ กำไรมาตรฐาน ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าราคาขายต่อผู้บริโภคทั่วไปรายสุดท้ายในตลาดปกติ
ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ "กรมสรรพสามิต" ออกมาประกาศคำจำกัดความของราคาขายปลีกแนะนำออกมาเป็น 3 ข้อ คือ 1.ราคาขายปลีกแนะนำไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง 2. ราคาขายปลีกแนะนำไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ได้แก่ ราคาส่งเสริมการขาย ราคาขายแก่ผู้มีสิทธิพิเศษ มีเงื่อนไขการขาย เป็นต้น และ 3.ราคาขายปลีกแนะนำไม่สามารถกำหนดราคาได้ ได้แก่ การผลิตหรือการนำเข้าสินค้าเพื่อเป็นตัวอย่างหรือมิใช่เพื่อการขายปลีก เป็นต้น
ในส่วนของโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิต สำหรับสุรา กรมกสรรพสามิตยังคงจัดเก็บใน 2 อัตรา คือ ยังคงจัดเก็บใน 2 อัตรา คือ ภาษีตามมูลค่า (Ad valorem tex) และภาษีตามปริมาณ (specific tax) โดยในส่วนของภาษีปัจจุบันมีการจัดเก็บตามมูลค่าอย่างเข้มข้น แต่ภาษีใหม่จะมุ่งเน้นการจัดเก็บภาษีตามปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับภาษีตามมูลค่า เพื่อสะท้อนภาระของสินค้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ
ปัจจุบันผู้ประกอบการในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการเสียภาษีให้กับภาครัฐ รวมทังหมด 15.5% แบ่งเป็นภาษีเพื่อมหาดไทย 10% ภาษีเงินบำรุงกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) 2% ภาษีเงินบำรุงองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยหรือไทยพีบีเอส 1.5% และภาษีบำรุงกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ 2% และล่าสุดภาครัฐมีแนวคิดจะจัดเก็บภาษีกองทุนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีก 2%
จากอัตราภาษีที่ภาครัฐออกมาประกาศจัดเก็บดังกล่าว ประกอบกับตลาดแอลกอฮอล์ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจ ทำให้ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการเติบโตลดลง และคาดว่าจะส่งผลถึงสิ้นปี 2560 นี้ แม้ว่าจะออกมาคาดการณ์กันว่าตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สิ้นปีนี้น่าจะมีความคึกคัก
ข่าวเด่น