หลังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 2 ปี 2017 ขยายตัว 3.7%YOY (เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า) หรือเติบโต 1.3% หากเทียบกับไตรมาสก่อนแบบปรับฤดูกาล ทำให้ GDP ของไทยในครึ่งปีแรกขยายตัวได้ที่ 3.5%YOY
EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ออกบทวิเคราะห์โดยระบุว่า อีไอซีปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2017 เติบโต 3.6% จากเดิมที่ 3.4% ตามมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยหนุนการส่งออกสินค้าให้ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี เศรษฐกิจคู่ค้าหลักทั้ง สหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตลอดปี 2017 และความกังวลทางการเมืองในยุโรปที่ลดลง จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับการค้าและการลงทุนและส่งผลต่อเนื่องถึงความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมหลักจากไทยให้ฟื้นตัวได้ต่อในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงอาจทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องไม่สามารถขยายตัวได้สูงเทียบเท่ากับในช่วงครึ่งปีแรก อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาของผู้ส่งออก โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ยังคงเป็นอีกความเสี่ยงสำคัญของการค้าโลกที่ต้องติดตาม
ส่วนกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อยมีแนวโน้มอ่อนแอ หวังแรงกระตุ้นภาครัฐช่วยหนุน โดยกำลังซื้อของภาคครัวเรือนในประเทศยังค่อนข้างอ่อนแอ เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานในช่วงครึ่งแรกของปีหดตัวลง 0.2%YOY โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตลดลงถึง 3%YOY แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวของการส่งออกอาจไม่ได้ส่งผ่านไปสู่การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่างๆ มากนัก เนื่องจากอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการส่งออกส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานน้อย นอกจากนี้ รายได้ภาคเกษตรก็มีแนวโน้มชะลอตามราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดที่เริ่มปรับตัวลดลงจากในช่วงต้นปี เช่น ราคายาง ราคามันสำปะหลัง ราคาปาล์มน้ำมัน เป็นต้น ทั้งนี้ มาตรการภาครัฐจะเข้ามาเป็นแรงสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศที่สำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งเม็ดเงินอัดฉีดจากงบกลางปี 2017 มูลค่า 1.9 แสนล้านบาทซึ่งจะกระจายสู่พื้นที่จังหวัดต่างๆ มากขึ้น และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มแจกจ่ายในเดือนตุลาคม
ขณะเดียวกันต้องจับตาเงินบาทที่แข็งค่ากว่าสกุลเงินภูมิภาคซึ่งอาจกระทบการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ ความเสี่ยงสำคัญในช่วงที่เหลือของปีคือ เงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุดในเอเชียในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาของผู้ส่งออก ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่าสินค้าที่ไทยส่งออกคล้ายกับกลุ่มประเทศในเอเชีย และมีตลาดส่งออกหลักเดียวกัน คือ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะ ข้าวและยางพารา โดยเงินบาทที่แข็งค่ายังมีส่วนกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศ เนื่องจาก ราคาสินค้าเกษตรในประเทศมีแนวโน้มลดต่ำลงตามส่วนต่างอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ส่งออกที่ลดลงจากเงินบาทที่แข็งค่า ดังนั้น เงินบาทที่แข็งค่าเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรในประเทศและกำลังซื้อในประเทศในระยะต่อไปอีกด้วย
ข่าวเด่น