นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สำหรับผลการดำเนินงานระหว่าง วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 – วันที่ 31 กรกฎาคม 2560 โดยจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยพร้อมกันในวันที่ 23 สิงหาคม 2560 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลบอลอิควิตี้ (SCBGEQ) ในอัตรา 0.2913 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 รวมจ่ายปันผล 1.1586 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 14 ก.พ.2556) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป (SCBEUEQ) ในอัตรา 0.2316 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นครั้งที่ 6 รวมจ่ายปันผล 0.8815 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้ง 26 ก.พ.2557) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHA) จ่ายปันผลในอัตรา 0.0494 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 รวมจ่ายปันผล 0.1285 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้ง 13 ก.พ.2558)
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึง ณ วันที่ 15 ส.ค. 60 กองทุนหุ้นต่างประเทศทั้ง 3 กองทุนสามารถปรับตัวเป็นบวก โดยกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลอิควิตี้ (SCBGEQ) มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ กองทุน Veritas Global Focus (กองทุนหลัก) ชนิดหน่วยลงทุน (share class) “C share class” ใน class ที่ลงทุนด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 19.26% และ 1 ปี อยู่ที่ 15.13% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานจากต้นปีอยู่ที่ 12.73% และ 1 ปีอยู่ที่ 14.50%
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป(SCBEUEQ) มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ iShares STOXX Europe 600 (DE) มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 7.45% และ 1 ปี อยู่ที่ 14.72% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานจากต้นปีอยู่ที่ 6.95% และ 1 ปีอยู่ที่ 14.56%
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีนเอแชร์ (SCBCHA) ซึ่งเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ChinaAMC CSI 300 Index ETF มีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 8.26% และ 1 ปี อยู่ที่ 3.26% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานจากต้นปีอยู่ที่ 12.42% และ 1 ปีอยู่ที่ 10.32%
นายสมิทธ์ กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยปัจจุบันนั้นยังไม่มีสัญญาณในเชิงลบที่ชัดเจนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และถึงแม้ว่าความคาดหวังของนักลงทุนต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่เศรษฐกิจทั่วโลกยังคงขยายตัวในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้อัตราผลกำไรของบริษัทประกอบการมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น นอกจากนี้การส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นการสนับสนุนตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตามองได้แก่ ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ และการลดขนาดงบดุล (Balance Sheet) ของ FED ซึ่งตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้
สำหรับตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของยูโรโซนและสหราชอาณาจักรได้ออกมาดีต่อเนื่อง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทั้งนี้นักลงทุนยังมีความกังวลถึงค่าเงินยูโรที่แข็งค่ามาเกือบ 12% ตั้งแต่ต้นปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทที่เป็นผู้ส่งออก นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงยังคงเป็นการเลือกตั้งของประเทศอิตาลีที่จะต้องเกิดขึ้นภายในพฤษภาคมปีหน้า อีกปัจจัยหนึ่งได้แก่การส่งสัญญาณที่จะชะลอวงเงินการซื้อสินทรัพย์ของธนาคารกลางยุโรปซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจผ่านทางต้นทุนทางการเงินที่ปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนโดยรวมแล้วยังออกมาในระดับที่ดี โดยตลาดคาดการณ์จีดีพีของประเทศจีนในปี 2560 จะออกมาที่ประมาณ 6.6%-6.8% โดยมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคในประเทศ ในขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม อีกทั้งตลาดหุ้น A-Share ยังมีปัจจัยบวกจากการที่ MSCI จะนำตลาดหุ้น A-Share เข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Market ต่างๆ ทั้งนี้มีปัจจัยที่ต้องจับตาคือ ประเด็นนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเป้ามายังประเทศจีน และหนี้สินที่สูงในประเทศจีน โดยหนี้สินรวมต่อจีดีพีอยู่ที่ประมาณ 260% อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนได้มีการให้ความสำคัญกับปัญหาหนี้สินและฟองสบู่โดยการใช้นโยบายการเงินที่รัดกุมมากขึ้น
ข่าวเด่น