ภายหลังจากที่ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีโครงการจำนำข้าว ในด้าน มุมมองภาคธุรกิจเชื่อว่า ไม่มีกระทบต่อนักลงทุน แต่ขณะเดียวกันจะทำให้บรรยากาศทางการเมืองของไทยดีขึ้น
โดย นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นทางการเมืองและการปฏิรูปประเทศของภาครัฐ และไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมกันนี้เหตุดังกล่าวถือว่ามีส่วนช่วยให้ปลดล็อกความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองให้ผ่อนคลายลง
ซึ่งหอการค้าไทยเตรียมพิจารณาปรับประมาณการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ว่า ในปีนี้จะเติบโตที่ร้อยละ 3.6 และภาคการส่งออกที่จะขยายตัวดีกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5 เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาจากตัวเลขของสภาพัฒน์ปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงค์จากภาพรวมการส่งออกที่เติบโต เศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว การเบิกจ่ายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การท่องเที่ยว รวมถึงการบริโภคที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น
ด้าน นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย เชื่อว่า บรรยากาศการเมืองไทยน่าจะดีขึ้น เพราะลดการเผชิญหน้าทางการเมือง ซึ่งมุมมองของทางหอการค้าต่างประเทศเรื่องการทำธุรกิจและการลงทุน จะไม่มีผลกระทบเพราะต่างชาติไม่ได้มองเรื่องผลการตัดสินของศาลเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่มองคือ การประกอบธุรกิจในไทยปลอดภัยดีหรือไม่ ธุรกิจสามารถทำกำไรได้งอกเงยเพิ่มขึ้นอย่างไร
ทั้งนี้ ได้หารือสมาคมธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งมีผู้บริหารของบริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่ในไทย 30 ราย พึงพอใจกับการทำธุรกิจในไทย เนื่องจากยอดขายธุรกิจและการส่งออกกำไรดีขึ้น การควบคุมต้นทุนการผลิตก็ทำได้ดี ซึ่งเท่าที่ได้รับฟังความเห็นนักลงทุนญี่ปุ่นยังชอบเมืองไทย และต้องการมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ขณะนี้ทางหอการค้าฯ กำลังรวบรวมความเห็นว่า ไทยควรมีการปรับปรุงกฎระเบียบอะไรบ้างที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน เพื่อให้ไทยมีศักยภาพในการทำธุรกิจได้ดีขึ้น
ขณะที่ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยถึง กรณีความคืบหน้าในการสืบทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีจำนำข้าวว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ส่งข้อมูลมา เพื่อดำเนินการติดตามทรัพย์แล้ว โดยล่าสุด ยังไม่มีการสืบทรัพย์เพิ่ม
โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ที่อยู่อาศัยรวมถึงคอนโดมิเนียมต่างๆ ที่ได้สืบทรัพย์ไปก่อนหน้านี้ และได้ส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ประสานกับกรมบังคับคดี เพื่อหาแหล่งที่ตั้งของที่อยู่อาศัยที่จะดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ที่ชัดเจนว่าอยู่ที่ใด จากนั้นจะส่งต่อให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป
ข่าวเด่น