แม้ว่าจำนวนการเกิดของประชากรเด็กจะมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่หากดูการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มสินค้าเด็กแล้วยังคงมีการขยายตัวในทิศทางที่ดี แม้ว่าปีนี้จะมีการชะลอตัวไปบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ลดลง และไม่เน้นการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จึงทำให้มีตลาดรวมสินค้าเด็กในขณะนี้มีการขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 1.1% หรือมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 5,800 ล้านบาท
แต่สำหรับผู้นำตลาดสินค้าเด็กในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าอย่างแบรนด์ดีนี่ ยังคงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างหนักตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ด้วยการจับมือกับห้างค้าปลีกขยายพื้นที่การขายสินค้าควบคู่ไปกับการทำโปรโมชั่นลดราคาสินค้า เช่น ซื้อ 1 แถม 1 ซื้อ 2 แถม 1 และซื้อ 3 แถม 1 เป็นต้น
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจในรูปแบบดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าเด็กของดีนี่สามารถขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดได้สำเร็จ ด้วยการครองส่วนแบ่งการตลาดที่ประมาณ 45% จากตลาดรวมผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าสำหรับเด็กที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และหากมองอัตราการเติบโตในด้านของยอดขายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ก็เติบโตสูงถึง 19% ขณะที่ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าสำหรับเด็กมีอัตราเติบโตเพียง3.5% เท่านั้น เช่นเดียวกับภาพรวมยอดขายสินค้าเด็กของแบรนด์ดีนี่ที่เติบโตสูงถึง 7.7.% ขณะที่ตลาดรวมสินค้าเด็กขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 1.1%
นางปัทมา ถกลศรี ประธานบริหารฝ่ายการตลาดบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคภายใต้แบรนด์สินค้าคุณภาพ กล่าวว่าบริษัทมีแผนที่จะใช้งบการตลาดประมาณ 350 ล้านบาท เพื่อใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ตลาดมีความตื่นเต้น รวมทั้งเพิ่มการทำการตลาดช่องทางออนไลน์ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาให้ความสนใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็มีแผนที่จะขยายช่องทางการทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งตลาดที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการทำการตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น คือ กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ซึ่งประกอบไปด้วย พม่า ลาว เวียดนาม และกัมพูชา โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดบ้างแล้ว และได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากขยายตลาดส่งออกมากขึ้นคาดว่าสินค้าเด็กแบรนด์ดีนี่จะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มเป็น 31% ในสิ้นปี 2560 นี้ และเพิ่มเป็น 32% ในปี 2561
นางปัทมา กล่าวต่อว่า ปัจจัยที่ทำให้สินค้าเด็กดีนี่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คือ การผลิตสินค้าเพื่อทำตลาดนิชมาร์เก็ต เนื่องจากกลุ่มคุณแม่มีความต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพตามมาตรฐานสากลดังนั้นบริษัทจึงต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใส่ในสินค้าและทำการตลาด เพื่อครอบคลุมครบทุกความต้องการของคุณแม่ เช่น การออกผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าเด็กสูตรออร์แกนิคหรือสูตรซักกลางคืน เป็นต้น
นอกจากนี้ การที่ ดีนี่ จัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้เข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการทำ “D-nee Club” ขึ้นมา ซึ่งหากนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็รวมระยะเวลากว่า 13 ปีแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบันมีลูกค้าที่เข้ามาร่วมสมัครเป็นสมาชิกดีนี่คลับกว่า 400,000 คนทั่วประเทศ และการที่ปีนี้ได้มีการเชิญครอบครัว “หิรัญพฤกษ์” ทั้งภูริ คุณแอน อลิชา และน้องริชา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ก็ทำให้ ดีนี่ มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การทำให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ดีนี่ ได้มีการขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ด้วยการขยายช่องทางขายใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของคุณแม่ยุคใหม่ ทั้งการนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในแผนกเด็กของห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ และเปิดร้าน D-nee shop ซึ่งเน้นจุดเด่นเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์อย่างครบครันการตกแต่งร้านสร้างความโดดเด่น โดยดีนี่มีแผนเปิดสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ล่าสุดเปิดแล้ว 3 แห่ง คือ สาขารังสิต, ศรีสมาน และที่จ.เพชรบุรี ซึ่งภายใน 3 ปีนับจากนี้คาดว่าจะขยายร้าน D-nee shop ให้ครบ 20 สาขา
นางปัทมา กล่าวอีกว่า ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กมีการแข่งขันรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสินค้าเข้ามาบุกตลาดตลอดเวลา ทั้งสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น เกาหลีและตลาดล่างแบรนด์ OEM แต่บริษัทไม่กังวลเพราะมั่นใจในศักยภาพในทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เด็กเป็นสิ่งที่คุณแม่ให้ความสำคัญสูงสุดไม่เปลี่ยนยี่ห้อง่ายๆ เหมือนผลิตภัณฑ์อื่นๆ จึงทำให้ทำการตลาดค่อนข้างยาก
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตทั้งผลิตภัณฑ์ดีนี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในเครือไม่ว่าจะเป็นไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์, สมาร์ท หรือโทมิ ทำให้บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท มีแผนที่จะใช้งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ในการเพิ่มเครื่องจักรและเร่งขยายไลน์การผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของกลุ่มดีนี่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 50% ในโรงงานแห่งใหม่ย่านลำลูกกา คลอง 13 เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตสินค้าเต็ม 100% แล้ว ส่งผลให้ต้องยกเลิกการผลิตสินค้าบางรายการไป และหันมาเน้นการผลิตสินค้าขายดีแทน ทำให้ปัจจุบันมีการผลิตสินค้าเข้าทำตลาดที่กว่า 700 รายการเท่านั้นลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ผลิตสินค้าเข้าทำตลาดประมาณ 1,000 รายการ
สำหรับความคืบหน้าของการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในย่านลำลูกกานั้น บริษัทจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 เฟส โดยในส่วนของเฟสแรกขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างภายใต้งบลงทุน 1,000 ล้านบาทคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องการผลิตสินค้าได้ประมาณกลางปี 2561
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นางปัทมา มั่นใจว่า สิ้นปี 2560 แบรนด์ดีนี่จะมียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน20% โดย 2 ไตรมาสที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเกินเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวคาดว่าสิ้นปี 2561 แบรนด์ดีนี่จะมียอดขายเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 33%
ส่วนภาพรวมธุรกิจของ นีโอ คอร์ปอเรท นั้น คาดว่าสิ้นปี 2560 จะมียอดขายรวมทุกกลุ่มสินค้าในทุกแบรนด์อยู่ที่ประมาณ 5,300 ล้านบาท เติบโตจากปี2559 ประมาณ 9% แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มสินค้าของใช้ส่วนตัว (Personal Care) 40% และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) 60% และแบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 90% และต่างประเทศ10% หลังจากนั้นอีก 3 ปีคาดว่ายอดส่งออกจะเพิ่มเป็น 25% และในอีก 7 ปีจะเพิ่มเป็นกว่า 30%
ข่าวเด่น