บลจ.ทิสโก้ประกาศจ่ายปันผล “ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์” 0.90 บาทต่อหน่วย จากผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2559 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2560 ชี้ราคาหุ้นจีนน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะที่อินเดียเริ่มฟื้น ค่าเงินรูปีมีเสถียรภาพมากขึ้น
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co., Ltd.)กล่าวว่า บลจ.ทิสโก้ได้พิจารณาจ่ายเงินปันผล กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ (TISCOCID) จากผลการดำเนินงานรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2559 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2560 ในอัตราหน่วยละ 0.90 บาท กำหนดปิดสมุดทะเบียนเพื่อรับเงินปันผลวันที่ 14 พ.ย. 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พ.ย. 2560 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2550 จ่ายเงินปันผลแล้ว 4 ครั้ง อัตรารวม 2.86 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอีทีเอฟในต่างประเทศที่มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือประกอบธุรกิจในจีนและ อินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตและมีโอกาสในการทำกำไรในอนาคต ซึ่งบลจ.ทิสโก้ยังคงชื่นชอบการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาหุ้นยังน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะที่อินเดียนั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตได้ในระดับปกติในปี 2561
“ในช่วงที่ผ่านมาจีนกลับมาใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และค่าเงินหยวนกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น ด้านเงินทุนสำรองยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และล่าสุดทางการมีการเปิดให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาถือหุ้นในสถาบันการเงินจีนมากขึ้นซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติเพิ่มขึ้น สำหรับปัจจัยบวกในระยะข้างหน้า คือ MSCI จะเริ่มนำหุ้น A-Shares เข้ามาคำนวณในดัชนีในเดือน พ.ค. 2561 ประกอบกับราคาหุ้นยังน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค ” นายสาห์รัช กล่าว
สำหรับอินเดียเรามีมุมมองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจอินเดียจะสามารถเติบโตได้เป็นปกติ ซึ่งคือ 7-8% หลังจากที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ปลายปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาล ด้านเงินเฟ้อที่เคยทรงตัวในระดับสูงเกิน 10% และค่าเงินรูปีที่เคยผันผวนที่สร้างความกังวลแก่นักลงทุนในอดีต ได้มีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดียมีสถานะที่ดีขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และต่างชาติมีการลงทุนในอินเดียมากขึ้นทั้งลงทุนตรง (FDI) และลงทุนในตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี 3 ปี 1 ปี 6 เดือน 3 เดือน และตั้งแต่ต้นปี 2560 ถึงปัจจุบัน ตามข้อมูลของ บลจ.ทิสโก้ ณ วันที่ 31 ต.ค. 2560 อยู่ที่ 7.58%ต่อปี, 5.41%ต่อปี, 22.34%ต่อปี, 13.72%, 4.40% และ 29.80% ตามลำดับ ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันดัชนีผลตอบแทนรวมซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของดัชนี MSCI China (25%) ดัชนี Hang Seng China Enterprise (25%) และดัชนี MSCI India (50%) มีผลตอบแทนอยู่ที่ 10.01%ต่อปี, 8.49%ต่อปี, 21.49%ต่อปี, 12.28%, 5.22% และ 25.54% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิใช่สิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ทั้งนี้ กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน จึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผู้สนใจกองทุนรวมทิสโก้ สามารถติดต่อ บลจ.ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ TISCO Contact Centerโทร. 02-633-6000 กด 4
ข่าวเด่น