หลังจากบริษัท ชาร์ป ประเทศญี่ปุ่น ได้ขายกิจการให้กับบริษัท หงไห่ พรีซิชั่น อินดัสทรี ประเทศไต้หวันไปเมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าราว 700,000 แสนเยน หรือประมาณ 213,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นโดยต่างชาติที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาที่ทางบริษัท หงไห่ฯ เสนอซื้อกิจการของชาร์ปในครั้งนี้ถือว่าสูงกว่าที่ INCJ เสนอถึง 2 เท่า
การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวส่งผลให้ บริษัท หงไห่ พรีซิชั่น อินดัสทรี ประเทศไต้หวัน ได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ชาร์ป ประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วน 60% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งหลังการตกลงซื้อขายหุ้นสำเร็จเรียบร้อย บริษัท หงไห่ฯ ก็ส่งบุคลากรเข้ามาบริหารธุรกิจของบริษัท ชาร์ป ประเทศญี่ปุ่นทันที เช่นเดียวกับบริษัท ชาร์ป ประเทศไทย โดยหลังจากบริษัท หงไห่ฯ เข้ามาบริหารงานในบริษัท ชาร์ป ทั่วโลกส่งผลให้ผลประกอบการของ ชาร์ปทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ปี 2560 นี้ถือเป็นปีแรกที่ ชาร์ป จะเข้ามาทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากหายไปจากตลาดนาน 2 ปี เพราะอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างบริษัท ซึ่งสินค้าตัวแรกที่ ชาร์ป เลือกที่จะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเป็นกลุ่มแรก คือ ทีวี เนื่องจากบริษัท หงไห่ฯ มีแผนที่จะผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีในการส่งสินค้าเข้าไปทำตลาด
จากแนวทางธุรกิจดังกล่าว ทำให้บริษัท หงไห่ฯ ต้องดึงสายการผลิตทีวีชาร์ป จากเดิมที่เคยย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซีย กลับมาผลิตในประเทศไทยตามเดิม ด้วยการใช้งบลงทุน 3 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐหรือกว่า 100 ล้านบาท ลงทุนสายการผลิตทีวีใหม่ที่โรงงานในจังหวัดนครปฐม ซึ่งสินค้าที่ผลิตอยู่ในขณะนี้จะเน้นไปที่กลุ่มแอลอีดีทีวีเป็นหลัก
นายโรเบิร์ต อู๋ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป ไทย กล่าวว่า สินค้ากลุ่มแรกที่จะให้ความสำคัญทำการตลาดในปีนี้ คือ ทีวี เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของรายได้รวม ด้วยการย้ายฐานการผลิตกลุ่มสินค้าทีวีจากประเทศมาเลเซียกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาใช้ฐานการผลิตในประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ เพื่อให้แอลอีดีทีวีรุ่นใหม่ของชาร์ปเป็นที่รู้จักในระยะเวลารวดเร็ว และเพื่อทวงตำแหน่งผู้นำในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยอีกครั้ง ล่าสุดจึงได้มีการเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนล่าสุด กันต์ กันตถาวร ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Unlimited Happiness” เพื่อเป็นตัวแทนในการสื่อสารเกี่ยวกับความสุขอันไร้ขีดจำกัดที่ผู้บริโภคจะได้รับจากแบรนด์ไปยังวงกว้าง
นอกจากนี้ ในปีหน้า ชาร์ป ยังจะมุ่งเน้นการจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี “อควอส” (AQUOS) และ “พลาสม่าคลัสเตอร์” โดยมุ่งหวังที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุประมาณ 25 - 40 ปี ซึ่งมีความสนใจในด้านแฟชั่น และเทรนด์ของสินค้านวัตกรรมซึ่งตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญราคาคุ้มค่า
ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2561 ชาร์ป ยังมีแผนที่จะเปิดตัวทีวี 8K เข้าทำตลาด ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่สุดยอดของกลุ่มสินค้าทีวีเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ที่ปัจจุบันยังคงมีแค่เทคโนโลยี 4K เข้าทำตลาดเท่านั้น โดยในส่วนของทีวีเทคโนโลยี 8K ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยปีหน้านั้น ชาร์ป จะเน้นการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก เพื่อควบคุมคุณภาพสินค้า
นายโรเบิร์ต กล่าวว่า บริษัทมีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนโลกให้แตกต่างไปจากเดิม นั่นคือนวัตกรรมโทรทัศน์ “อควอส 8 เค ทีวี” (AQUOS 8K TV) ที่สุดของความคมชัดเสมือนจริงที่เหนือกว่าเทคโนโลยีโทรทัศน์ที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 7,680 x 4,320 มากกว่าเทคโนโลยีจอภาพในโทรทัศน์แบบ Full HD ถึง 16 เท่า ซึ่งเป็นความละเอียดชนิดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยระบบเทคโนโลยี 8K Ecosystem สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งในวงการแพทย์ ระบบรักษาความปลอดภัย และการตรวจสอบคุณภาพในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดการเปิดขายคร่าวๆ นั้นจะเป็นช่วงปลายปี 2561
นอกจากนี้ ชาร์ป ยังได้คิดค้นนวัตกรรม AIoT ซึ่งนำจุดเด่นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการเชื่อมต่ออย่างไร้พรมแดนบนโลกอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) มาผนวกเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน และกลุ่มอุปกรณ์ใช้งานสำหรับธุรกิจ ให้สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย เพราะนอกจากจะสามารถตอบสนองการใช้งานได้แบบ Interactive แล้ว ยังมีความสามารถในการบันทึก และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานให้มีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อีกด้วย
ด้านนายไต้ เจิ้น อู ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์ป คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญทางธุรกิจของชาร์ปในต่างประเทศมายาวนานกว่า 90 ปี โดยมีการขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการขาย การผลิต และการบริการหลังการขาย สำหรับสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในสำนักงาน (Business Solution) รวมถึงในกลุ่มผลิตภัณฑ์พลังงานโซลาร์ (Solar Energy Products)
นอกเหนือจาก สายการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเครื่องถ่ายเอกสารที่ชาร์ปมีอยู่แล้วในประเทศไทย ในปีนี้ ชาร์ป ยังตัดสินใจที่จะลงทุนเพิ่มเติมในการขยายสายการผลิตสินค้ากลุ่มทีวี ณ โรงงาน ชาร์ป แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จํากัด จังหวัดนครปฐม เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
นายไต้ กล่าวอีกว่า บริษัทได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มที่ดีของเศรษฐกิจไทย ภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและเทคโนโลยีของชาร์ปที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งด้านระบบอัตโนมัติ (Automation), นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเชื่อมต่อที่ง่ายดายบนโลกอินเทอร์เน็ต (IoT) รวมถึงการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตมาประยุกต์ใช้กับการดูแลสุขภาพ (Smart Healthcare) และการเกษตร (Smart Farm) ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของชาร์ปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากอยู่ในทำเล ที่เหมาะสม และมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต
จากแนวทางการหวนคืนกลับมาทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ชาร์ป มั่นใจว่าสิ้นปีงบประมาณ 2560(เม.ย.2560-มี.ค.2561)คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 20%
ข่าวเด่น