หลังจากเม็ดเงินในธุรกิจสื่อมีอัตราการเติบโตชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าของสินค้าหันมาประหยัดงบในการซื้อสื่อโฆษณามากขึ้น ภายหลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจสื่อหลายรายต้องออกมาปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ ซึ่งบางรายก็หันไปหาพันธมิตรเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในด้านของการเงิน ขณะที่บางรายก็หันไปหารายได้เสริมจากธุรกิจอื่นๆ
หนึ่งในธุรกิจที่หลายคนสนใจ คือ ธุรกิจสุขภาพและความงาม เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรธุรกิจความงามก็ยังสามารถเติบโตได้ เช่นเดียวกับปีนี้ที่ภาพรวมธุรกิจสุขภาพและความงามก็ยังสามารถเติบโตได้มากกว่า 10% สวนกระแสภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังทรงตัวในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีของธุรกิจสุขภาพและความงาม จึงทำให้บริษัท อาร์เอสจำกัด(มหาชน) มองเห็นโอกาสในการหาพันธมิตรทางธุรกิจกลุ่มสุขภาพและความงาม เพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสุขภาพและความงาม
บริษัท อาร์เอส ได้เริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจสุขภาพและความงามภายใต้การบริหารงานของบริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของปีแรกที่ได้เริ่มก้าวมาทำธุรกิจมีรายได้เพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น แต่หลังจากมีการปรับกลยุทธ์ในด้านของการทำตลาด ควบคู่ไปกับการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ได้ใช้สื่อของตัวเองเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารกับผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือวิทยุ ส่งผลให้ปีต่อมาหรือปี 2559 มีรายได้ขยับเพิ่มมาเป็น440 ล้านบาท และในปีนี้ 2560 บริษัท อาร์เอส คาดการณ์ว่าธุรกิจสุขภาพและความงามจะมีรายได้ขยับมาอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท
จากความสำเร็จที่ได้รับจากธุรกิจสุขภาพและความมงาม ส่งผลให้บริษัท อาร์เอส มีแผนที่จะเร่งเครื่องการขยายธุรกิจสุขภาพและความงามให้มีอัตราการเติบโตมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันเป็นแม่ทัพในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทนับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยในส่วนของปี 2561 บริษัท อาร์เอส ได้วางเป้าหมายรายได้ไว้อยู่ที่ 5,300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสุขภาพความงาม 2,500 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจสื่อ 2,000 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจเพลง 250 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรม 550 ล้านบาท
ส่วนรายได้ในสิ้นปี 2560 นี้ คาดว่าจะปิดตัวเลขได้ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจสุขภาพและความงาม 42.5% ธุรกิจสื่อ 47.2% ธุรกิจเพลง 6.2% ธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรม 4.1% ซึ่งในส่วนของปี 2561สัดส่วนธุรกิจสุขภาพและความงามจะปรับเพิ่มเป็น 47% ขณะที่ธุรกิจสื่อจะปรับลดเหลือ 46% ธุรกิจเพลงปรับลดเหลือ 5%ธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรมปรับลดเหลือ 2%
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในปีหน้าบริษัทใช้กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด “ทำธุรกิจใหม่ไร้กรอบ (Beyond the Limit)” รุกเปิดโอกาสตัวเองกับธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจ โดยนำธุรกิจเรือธงที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ได้แก่ ไลฟ์สตาร์, ช่อง 8, คูล, เพลง และแซทเทิลไลท์ทีวี มาผสานการทำงานร่วมกัน ด้วยบิสิเนสโมเดลที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique) ไม่เหมือนใคร ช่วยส่งเสริมผลักดันให้ทุกธุรกิจในเครือมีศักยภาพยิ่งขึ้น
สำหรับในส่วนของธุรกิจสุขภาพและความงาม “ไลฟ์สตาร์” ซึ่งปี 2561 ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีรายได้สูงถึง 2,500 ล้านบาท บริษัท อาร์เอส จะใช้กลยุทธ์ Product Champion ในการทำตลาด ด้วยการคัดสรรและพัฒนาสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมี 3 แบรนด์ ได้แก่ “มาจีค” ทำตลาดกลุ่มสกินแคร์, “รีไวฟ์” ทำตลาดกลุ่มแฮร์แคร์ และ“เอส.โอ.เอ็ม” ทำตลาดกลุ่มอาหารเสริม ซึ่งมีแผนจะส่งสินค้าใหม่อีกกว่า 30 รายการ จากทุกวันนี้มีอยู่แล้ว 37 รายการ
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะจับมือร่วมกับพันธมิตรอีกประมาณ 2-3 ราย เพื่อร่วมกันขยายธุรกิจใหม่ ซึ่งธุรกิจที่ให้ความสนใจ คือ กลุ่มสินค้าเครื่องครัว เนื่องจากปัจจุบันตลาดดังกล่าวมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะเพิ่มทีมเทเลเซลล์เป็น 500 คนในปีหน้า จากสิ้นปีนี้มีอยุ่ที่ประมาณ 350-400 คน
ในส่วนของธุรกิจสื่อ บริษัท อาร์เอส จะยังคงใช้ “ช่อง 8” เป็นตัวพลักดันรายได้หลัก โดยปีหน้าได้ตั้งเป้าหมายรายได้ได้ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์การตลาดที่จะนำมาใช้ คือ “ไพร์มไทม์ โฟกัส” ในช่วงเวลาเช้า 6.00-9.00 น. และช่วงค่ำ 18.00-22.00 น. ด้วยการนำคอนเทนต์พรีเมียมทั้งในและต่างประเทศมาออกอากาศเพิ่มเติม และจากเรตติ้งที่ปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปีหน้ามีแผนจะขยับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นอีก 45% จากปัจจุบันขายเฉลี่ยที่ 30,000 บาทต่อนาที โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนม.ค. 2561 เป็นต้นไป
ด้านธุรกิจเพลง ในปีหน้าบริษัท อาร์เอส ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 250 ล้านบาท ด้วยการใช้กลยุทธ์ Artist Centric ในการทำตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดนตรีไร้ขอบ” ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพลงลูกทุ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นค่ายเพลงที่ตอบโจทย์คนฟังครบถ้วนทุกแนวเพลง ซึ่งการดำเนินธุรกิจเพลงนับจากนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของ “อาร์สยาม” โดยวันที่ 1 ธ.ค.นี้จะมีการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ เพื่อให้มีความทันสมัย
ขณะเดียวกันมองศิลปินเป็นคอนเทนรุกเพิ่มขีดความสามารถบริหารจัดการเพื่อสร้างรายได้ทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นรายได้งานโชว์ตัวตามคอนเสิร์ตและอีเวนท์ต่างๆ รวมไปถึงพรีเซนเตอร์สินค้า การแสดงละครและภาพยนตร์ เป็นต้นขณะที่ธุรกิจวิทยุ “คูลฟาเรนไฮต์” จะใช้กลยุทธ์ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น เร่งขยายฐานออนไลน์ต่อเนื่อง เจาะกลุ่มเจน ซีทุกเพศทุกวัยอายุระหว่าง 20-44 ปี ที่มีความคิดและพฤติกรรมเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำความสำเร็จหลังผันตัวเองจาก เรดิโอ (วิทยุ) มาเป็น ออดิโอ (เสียง)
ข่าวเด่น