นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า นอกจากปัจจัยพื้นฐานในประเทศและต่างประเทศ ปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความมั่นใจทางการเมือง ความมั่นใจในการเลือกตั้ง ความจริงที่ต้องยอมรับ คือ การเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจ มีผลต่อความมั่นใจต่อนักลงทุน และผู้บริโภค หากคนไม่มั่นใจจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้
เราจึงตั้งมุมมองแบ่งเป็น 3 สถานการณ์
สถานการณ์ที่ 1 เลื่อนการเลือกตั้ง ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ อาทิ การติดขัดในกฎหมายย่อย หรือ กฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ การตกลงเจรจาไม่ได้ข้อสรุป หรืออาจเป็นเพราะไม่สามารถเตรียมความพร้อมได้ทัน ด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้เหล่านี้ ทำให้แผนการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.ปี 61 ต้องเลื่อนออกไป อาจส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน คนชะลอการบริโภค ประมาณการจีดีพีปี 61จะอยู่ที่ 3.5-3.8%
สถานการณ์ที่ 2 มีการเลือกตั้ง ภายใต้บริบทที่มีการคาดการณ์กันว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช.ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง ให้สานต่อการบริหาร เพื่อรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย ประมาณการจีดีพีปี 61 จะอยู่ที่ 3.7-4.0%
สถานการณ์ที่ 3 มีการเลือกตั้ง ภายใต้บริบทที่ คสช.เปลี่ยนผ่านรูปแบบมาใช้อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ในการกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐบาล ส่วนการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรี ซึ่งจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย หรือพรรคใด ๆ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่วุฒิสภายังคงมีอำนาจในการกำกับดูแล และควบคุมแนวทางของรัฐบาลให้เดินตามนโยบายปฏิรูปแห่งชาติ หรือนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สถานการณ์นี้ ความเชื่อมั่นและความต่อเนื่องด้านนโยบายจะยังคงอยู่ต่อไป การเมืองไทยมีภาพลักษณ์เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งคาดว่าจะได้รับคะแนนนิยมและมุมมองที่ดีจากต่างชาติ อีกทั้งน่าจะทำให้เห็นภาพอนาคตที่มีความชัดเจนขึ้น โดยประมาณการจีดีพี จะเติบโตได้ถึง 3.9-4.5%
“แต่ไม่ว่าปีหน้าสถานการณ์ทางการเมืองจะออกมารูปแบบไหนใน 3 แบบนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นกว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มเติบโตเหนือ 3.5% ด้วยปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวขับเคลื่อน ปัจจัยพื้นฐานที่กำลังเร่งตัวดีขึ้น ได้แก่ ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลให้การส่งออกไทยพลิกเป็นบวก และถ้าการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่องได้สองไตรมาส เราจะเริ่มเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้น คนเริ่มกลับมาลงทุน การบริโภคจะเริ่มกลับมา ซึ่งตรงนี้เองเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยไม่ว่าการเมืองปีหน้าจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจไทยจะไม่กลับไปชะลอลงต่ำกว่า 3%” นายอมรเทพ กล่าว
นายอมรเทพ กล่าวว่า โดยสรุป ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีหน้าน่าจะเร่งตัวขึ้นจากปีนี้ จากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนน่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากอ่อนแอมาหลายปี จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากเสถียรภาพทางการเมือง สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 61 จะเติบโต 4% จากปี 60 ที่คาดว่าจะโต 3.9%
ด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เงินจะไหลออกจากนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด และนโยบายลดภาษีของทรัมป์ การที่เงินบาทระยะนี้แข็งค่าขึ้นคาดว่าเป็นเพียงชั่วคราว จากความไม่มั่นใจนโยบายลดภาษีของทรัมป์ เป็นสำคัญ
ทั้งนี้ คาดว่าปี 61 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลน้อยกว่าปี 60 เพราะการส่งออกไม่น่าจะเติบโตได้แรง เนื่องจากฐานที่เริ่มสูงขึ้น และการนำเข้าจะเริ่มขยายตัวจากความต้องการสินค้าทุนที่ใช้ในการผลิต
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 61 น่าจะคงที่ 1.5% ตลอดทั้งปี เพื่อรักษาสมดุลการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ระดับต่ำ อีกทั้งเฟดมีความพร้อมในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้ง กนง.จึงน่าจะคงดอกเบี้ยได้ตลอดทั้งปี ในเมื่อดอกเบี้ยสหรัฐสูงกว่าดอกเบี้ยไทย จึงเป็นแรงสนับสนุนให้ไทยเกิดเงินไหลออก ส่งผลให้ความน่าสนใจในการเข้ามาซื้อตราสารหนี้ของไทยลดลง ซึ่งเป็นทิศทางทำให้ค่าเงินบาทปี 61 อ่อนค่าที่ระดับ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
“ปีทองของไทยจริงๆ ไม่ใช่ปีหน้า เรามองว่าปีทองทางเศรษฐกิจของไทยคือปี 2562 เพราะหลังเกิดการเลือกตั้ง คนจะกลับมาลงทุน และบริโภค รัฐบาลชุดถัดไปของคสช.นับว่าเป็นรัฐบาลที่โชคดี เพราะสิ่งที่คสช.ได้ทำและเดินหน้ามาแล้ว นั้นเริ่มจะเห็นผล และจะขับเคลื่อนได้ในปีถัดไป” นายอมรเทพ กล่าว
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ควรได้รับการแก้ไขต่อไป เช่น การขาดแคลนแรงงานมีทักษะ การเข้าสู่สังคมสูงอายุก่อนที่เป็นประเทศรายได้สูง และการมีกฎระเบียบและข้อจำกัดในการลงทุนอันบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของเอกชน เป็นต้น ดังนั้น การปฏิรูปทางเศรษฐกิจยังไม่จบแม้มีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม
นายภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากคาดการณ์ของสำนักวิจัยฯที่มองว่าดอกเบี้ยนโยบายจะคงยาวตลอดทั้งปีนั้น ส่วนของดอกเบี้ยระยะยาวเริ่มเห็นสัญญาณการขึ้น ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ จึงแนะนำนักลงทุนที่เล็งว่าจะลงทุนตราสารหนี้ แนะนำให้ทยอยซื้อ เพื่อรอรับดอกเบี้ยระยะยาว 3 ปี 5 ปี 7 ปี ที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 61 ส่วนผู้ที่ถือครองตราสารไว้อยู่แล้ว ควรศึกษาลงทุนการซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรอง ทำการซื้อขายเปลี่ยนมือเตรียมสภาพคล่องไว้ลงทุนในตราสารออกใหม่ที่จะออกมาในอนาคต
หุ้นกู้ประเภทใหม่ที่น่าจับตาคือ หุ้นกู้ที่อ้างอิงกับหน่วยลงทุนต่างประเทศ หรือ fund link note ซึ่งมีข้อดี คือ ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหน่วยลงทุนโดยตรง โดยได้รับความคุ้มครองเงินต้นโดยผู้ออก ทำให้ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ เพราะตอบโจทย์นักลงทุนกลุ่มที่ต้องการความคุ้มครองเงินต้น แต่ต้องการโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนทั่วไป นอกจากนี้ fund link note เป็นอีกก้าวของการไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะส่วนใหญ่ fund link note จะลิงค์กับกองทุนขนาดใหญ่ สภาพคล่องสูง ซึ่งธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กำลังจะเสนอขาย fund link noteเร็วๆนี้
นายภูดินันท์ กล่าวว่า เป็นจังหวะที่ดีของการไปลงทุนต่างประเทศ จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจับมือกับกลต.ขยายช่องทางและขยายเพดานให้คนไทยไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนพานักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศ เพิ่มเติมจากเดิมที่มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์ อีกทั้ง เมื่อเร็วๆนี้ ทางการยังขยายเพดานการลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนไทยจาก 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อย มีโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ปัจจัยต่างประเทศขณะนี้ยิ่งเพิ่มความน่าไปลงทุนต่างประเทศ สิ่งที่ต้องจับตาคือแผนภาษีของทรัมป์จะเริ่มมีผลบังคับใช้เร็วแค่ไหน เมื่อใช้แล้วจะส่งผลกระทบด้านบวกต่อบริษัทมากน้อยเพียงใด กล่าวคือ ภาษีที่ลดลงจะส่งผลให้บริษัทต่างๆ มีกำไรมากขึ้น และจะสะท้อนในราคาหุ้นที่สูงขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐน่าสนใจ ต่อเนื่องจากปีนี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมาถึง20%
นอกจากนี้ ค่อนข้างชัดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐจะปรับขึ้น กลายเป็นโอกาสของการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งวันนี้เริ่มเห็นนักลงทุนสถาบันไทยกลับไปซื้อตราสารหนี้ และ fixed income ของต่างประเทศมากขึ้นแล้ว จากที่เคยลดลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพราะดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาขึ้น ส่งผลให้ตราสารหนี้ต่างประเทศเริ่มมีผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ในไทย จึงมีเงินไหลออกไปลงทุนต่างประเทศ
“สิ่งที่นักลงทุนไทยกลัวการไปลงทุนต่างประเทศคือ อัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะปีนี้ค่าเงินบาทแข็งค่า 8% แข็งกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวดีกว่าไทย อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวดีขึ้น 20% ตลาดหุ้นฮ่องกงดีขึ้น 30% ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไม่ถึง 10% ดังนั้น เมื่อหักกลบค่าบาทที่แข็งค่ากว่า เทียบกับผลตอบแทนที่น้อยกว่า นับว่ามีโอกาสสร้างผลกำไรให้มากขึ้น” นายภูดินันท์ กล่าว
ในการสร้างความคุ้นเคยกับการลงทุนต่างประเทศ คือ การเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศเพื่อการลงทุน และกระจายความเสี่ยง ซึ่งธปท.ได้ขยายวงเงินในการถือครองอัตราแลกเปลี่ยนจาก 5 แสนเหรียญสหรัฐ เป็น 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อคน
นอกจากนี้ นักลงทุนอาจสร้างความคุ้นเคยโดยเริ่มลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาเซียน ซึ่งน่าสนใจเช่นกัน ยกตัวอย่าง ตลาดตราสารหนี้ในอินโดนีเซียให้ผลตอบแทน 6% มาเลเซีย 3-4%เทียบกับไทยที่ 2% นับเป็นอีกทางเลือกที่นักลงทุนสามารถศึกษาเพื่อลงทุนได้ โดยเฉพาะในภาวะที่เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ข่าวเด่น