หลังจากกระทรวงการคลังออกมาประกาศข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มสินค้านำเข้าจากประเทศจีนปรับลดลงเหลือ 0-5% จากเดิมผู้ประกอบการจะต้องเสียภาษีนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 10-20% โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2561 เป็นต้นไปนั้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างออกมาปรับตัวในการทำการตลาดกันอย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบการจากประเทศจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าว
จากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ที่กำลังจะเกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในประเทศไทย ด้วยการเปิดเกมรุกกลุ่มสินค้าในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวกลุ่มสินค้าเครื่องช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียมหรือไฮเอนด์เข้ามาทำตลาด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย
นาย จาง เจิ้งฮุ้ย ประ ธานกรรมการบริหารบริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนที่จะทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกับปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ จากเดิมจะเป็นสินค้ากลุ่มแมสให้มีภาพลักษณ์เป็นสินค้าระดับกลางและไฮเอนด์มากขึ้น เนื่องจากในปี 2561 ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) จะมีการประกาศใช้อย่างเป็นอย่างทาง ทำให้ภาษีนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศจีนถูกลง เหลือเพียง 5% ทำให้บริษัทสามารถเลือกสินค้าระดับกลางและระดับบนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากขึ้นในราคาที่ผู้บริโภคชาวไทยเข้าถึงง่าย
สำหรับแผนการทำการทำตลาดในปี 2561 นั้น ไฮเออร์ มีแผนที่จะทุ่มเงินการ ตลาดเพิ่มขึ้น 30-40% เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีการเปิดตัวเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใข้ไฟฟ้าระดับกลางถึงบน เพื่อเพิ่มสัดส่วนนยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับกลางถึงบนให้อยู่ที่ประมาณ 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 30%
นายจาง กล่าวต่อว่า ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของไฮเออร์กันมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (White goods) ของไฮเออร์ มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลกเป็นเวลาติดต่อกันถึง 8 ปีแล้ว ถือว่าได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก ซึ่งเบื้องหลังของการที่ยอดขายเป็นอันดับ 1 นั้น มาจากระบบการออกแบบ การผลิต และการตลาดระดับแนวหน้าของโลก รวมถึงระบบการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดอีกด้วย
ส่วนยอดขายของเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ในสิ้นปี 2560 นี้ คาดว่ามียอดขายทุกกลุ่มสินค้าอยู่ที่ประมาณ 500,000 ชิ้น หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 2,700 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าตู้เย็นประมาณ 550 ล้านบาท, เครื่องซักผ้าประมาณ 310 ล้านบาท, เครื่องปรับอากาศประมาณ 1,300 ล้านบาท, ตู้แช่ประมาณ 340 ล้านบาท, โทรทัศน์ประมาณ 155 ล้านบาท และสินค้าอื่นๆ ประมาณ 45 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเครื่องปรับอากาศ 200,000 ชุด โดยสินค้าเครื่องปรับอากาศมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2559 ซึ่งจากข้อมูลของ GFK ตลาดเครื่องปรับอากาศของประเทศไทยในปี 2560 มีแนวโน้มชะลอตัว แต่ในส่วนของยอดขายเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์ยังคงมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดีสวนกระแสกับภาพรวมตลาด
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เครื่องปรับอากาศไฮเออร์ ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เพราะ ไฮเออร์ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระดับแนวหน้าใน 10 ภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และอีกหลายแห่ง รวมถึงโรงงานอัจฉริยะและทันสมัยที่ใช้ระบบ IoT ระดับโลก ทั้งยังมีระบบโลจิสติกส์และระบบบริการหลังการขายระดับแนวหน้า จึงทำให้ลูกค้ามั่นใจในกลุ่มสินค้าเครื่องปรับอากาศของ ไฮเออร์ ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว ทำให้ ไฮเออร์ มั่นใจว่าในเร็วๆ นี้ จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยอย่างแน่นอน
สำหรับแผนการทำตลาดเครื่องปรับอากาศ ในประเทศไทยปี 2561 นี้ ไฮเออร์ มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำตลาดในรุ่น Inverter, Self-cleaning และ Smart Air Conditioner เนื่องจากปัจจุบัน ไฮเออร์ เป็นผู้นำตลาดกลุ่มสินค้าเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้น ไฮเออร์ จึงจะขอตอกย้ำความสำเร็จ ด้วยการปรับตำแหน่งเครื่องปรับอากาศไฮเออร์ให้อยู่ในระดับไฮเอนด์ ที่ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ในส่วนของเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ที่ ไฮเออร์ จะเปิดตัวเข้ามาทำตลาดในปี 2561 นี้จะมีด้วยกัน 8 ซีรีย์ 25 รุ่น ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง 7 ซีรีย์ 24 รุ่น และเครื่องปรับอากาศแบบตั้งพื้น 1 ซีรีย์ 1 รุ่น โดยสินค้าเด่นจะเป็นเครื่องปรับอากาศแบบอินเวอร์เตอร์ ที่มีฟังค์ชั่นที่น่าสนใจเช่น Eco-pilot sensor เซ็นเซอร์อัจฉริยะ ตรวจจับคนในห้องและสามารถสั่งการให้ลมเย็นได้ตามต้องการ Light sensor วัดความร้อนและความเข้มของแสงที่เข้ามาในห้องเพื่อให้เครื่องปรับอากาศปรับอุณหภูมิให้เย็นอยู่ตลอดเวลา Human sensor ตรวจจับความเคลื่อนไหวของคนภายในห้อง ส่งความเย็นได้ตรงจุด PID DC Inverter และประหยัดไฟได้มากกว่า
นอกจากนี้ ยังได้มีการดึง บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ พร้อมกันนี้ ไฮเออร์ ยังได้มีการเปิด Shop in Shop บริเวณชั้น 4 ของศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อโชว์สินค้านวัตกรรมใหม่ ซึ่งหลังจากออกมาทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น ไฮเออร์ มั่นใจว่าสิ้นปี 2561 น่าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากที่ปีปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 2,700 ล้านบาท โดยมีกลุ่มสินค้าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้านำทัพในการสร้างยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ข่าวเด่น