การจะสร้างกระแสสินค้าให้ปังในยุคนี้หากใช้เพียงสื่อแมสมีเดียอย่างเดียวสินค้าใหม่ที่จะทำการแจ้งเกิดก็คงต้องใช้เวลาจึงจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ ดังนั้นการจะสร้างสินค้าหนึ่งตัวให้ปังคงต้องใช้สื่อออนไลน์เข้ามาช่วย เพราะหากสินค้านั้นสามารถสร้างคอนเทนต์ได้โดนใจผู้บริโภคจนทำให้เกิดการแชร์ต่อ สินค้าตัวนั้นก็อาจจะปังและได้รับความนิยมเพียงชั่วข้ามคืน
จากพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปดังกล่าว วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU จึงได้มีการเปิดเผยงานวิจัยในหัวข้อ “Momentum Marketing เจาะใจคนชอบแชร์ จุดกระแสการตลาด” ว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยากเป็น “ผู้บริโภคกลุ่มแรก” หรือ “มีก่อนใช้ก่อน” (Early Adopters) ผู้บริโภคกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีอิทธิพลกับผู้บริโภค เพราะสามารถจุดกระแสการแชร์ต่อจนโด่งดังสนั่นโลกออนไลน์ และมีอิทธิพลต่อการเกิดหรือดับของสินค้าและบริการ จากการรีวิวและบอกต่อไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มทั่วไป
นอกจากนี้ จากผลการวิจัยยังแนะนำให้จับตากลุ่ม Gen Y เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้มีสัดส่วนเป็นผู้บริโภคกลุ่มแรกและมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากการเข้าสู่ตลาดแรงงาน ขณะเดียวกันยังพบค่าเฉลี่ยผู้บริโภคกลุ่ม “เช็คก่อนใช้ ใช่แล้วซื้อ” (Early Majority) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลต่อจากการรีวิวและการแชร์ต่อของผู้บริโภคกลุ่มแรก เพิ่มสูงขึ้น เกือบ 2 เท่าตัว
ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาดและการเงิน วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า ทุกวันนี้โซเชียลเน็ตเวิร์คถือเป็นสื่อที่มีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น จากผลสำรวจของ ETDA พบว่า คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเฉลี่ย 6.4 ชม./วัน หรือ 45 ชม./สัปดาห์ และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นครอบคลุมกลุ่มคนหลายอาชีพและหลายช่วงอายุ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา แบรนด์ต่างๆ แทบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เริ่มหันมาใช้กลยุทธ์การตลาดสร้างกระแสในโซเชียลมีเดีย เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ให้สนใจสินค้าและบริการของตัวเองมากขึ้น เมื่อการสร้างกระแสทางการตลาดเป็นเรื่องที่ไม่ยากอีกต่อไป
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปดังกล่าว ทางวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ทำการศึกษาค้นคว้ากลยุทธ์ทางการตลาดที่จะครองใจกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ซึ่งจากผลการศึกษาที่ได้มาพบว่า ในยุค 4.0 นี้ การที่สินค้าใหม่จะเกิดหรือดับนั้น มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มคนที่เรียกว่า “ผู้บริโภคกลุ่มแรก” หรือ “มีก่อนใช้ก่อน” (Early Adopters) เพราะเป็นกลุ่มคนที่เปิดรับสิ่งต่างๆ ได้ไว และมักเป็นคนกลุ่มแรกที่รับรู้หรือได้ทดลองใช้สินค้าก่อนใคร จากนั้นจะทำการรีวิวสินค้าและแชร์ต่อในโลกออนไลน์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย จนเกิดเป็นกระแสรับรู้ไปถึงผู้บริโภคกลุ่มถัดไปซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า ดังนั้น หากนักการตลาดสามารถทำให้คนกลุ่มนี้เปิดใจยอมรับสินค้าได้ จะเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและผลกำไรให้กับแบรนด์
น.ส.ยศวดี พัฒนเจริญ นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ผู้ทำวิจัยในหัวข้อ “Momentum Marketing เจาะใจคนชอบแชร์ จุดกระแสการตลาด” กล่าวว่า จากการสำรวจ “การเปิดรับนวัตกรรมและสินค้าใหม่ของคนไทย” มากกว่า 1,400 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเปิดรับสื่อและโซเชียลมีเดียสูงเป็นอันดับหนึ่ง 93% ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยม Facebook, Line, Instagram และ Twitter รองลงมาคือ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคกลุ่มมีก่อน ใช้ก่อน 16.05% เป็นชาย 19.41% และหญิง 14.33% ซึ่งหากแบ่งตามกลุ่มอายุ พบว่า เป็น Gen X หรือผู้ที่มีอายุระหว่าง 41-55 ปี 14.41% ขณะที่ Gen Y หรือผู้ที่มีอายุระหว่าง 23-40 ปี มีสัดส่วนสูงถึง 21.06% ถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ เพราะจำนวนผู้บริโภคกลุ่มแรกในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิม และในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคกลุ่ม “เช็คก่อนใช้ ใช่แล้วซื้อ” (Early Majority) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลต่อจากการรีวิวหรือแชร์ต่อของผู้บริโภคกลุ่มแรก เนื่องจากมีความระมัดระวังและใช้เหตุผลในการตัดสินใจพอสมควร เพราะต้องการความมั่นใจว่าสินค้าดีและมีคุณภาพจริงๆ ก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวอยู่ที่ 58%
จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ได้พบดังกล่าว ทำให้เกิดการวางกลยุทธ์การจุดกระแสสินค้าให้ปัง ด้วยการใช้พลังแชร์ต่อจำนวน 8 กลยุทธ์ ดังนี้
1. MOVEMENT: สินค้าต้องมีการเคลื่อนไหว ต้องใหม่อยู่เสมอ
2. OPINION LEADER: หาคนที่นำความคิดคนอื่นให้เจอ และให้ทดลองใช้สินค้า
3. MAJOR CHANGE: สินค้าต้องพัฒนา เปลี่ยนแปลง พอที่จะจูงใจคนให้แชร์ความคิดเห็น
4. ENGAGEMENT: สร้างความผูกผันกับผู้บริโภคโดยการสร้าง Brand Community เพื่อให้คนที่ยึดมั่นในแบรนด์อยู่รวมกัน สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล และเป็นกระบอกเสียงในการบอกต่อสินค้า
กลยุทธ์ที่ 5. NEED FULFILLMENT: สินค้าต้องเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะเรื่องไลฟ์สไตล์ 6. TREND: ทันกระแส จับกระแสให้ทันว่าอะไรจะมา 7. UNIQUENESS: ความ Limited ของสินค้าที่กระตุ้นความอยากได้ของผู้บริโภค และ 8. MONITOR: ต้องติดตามข้อมูลทั้งหมด เช่น เนื้อหาที่ต้องการสื่อสารถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ มีเสียงตอบรับที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร และเราสามารถจัดการส่วนนั้นได้อย่างไร
เมื่อเจาะลึกพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การเลือกซื้อสินค้าพบว่า มี ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีผลต้องการสื่อสารในโลกออนไลน์สูง ได้แก่ 1. แฟชั่นและคอสเมติก 2. เทคโนโลยีและแก็ดเจ็ต 3. อาหารและเครื่องดื่ม กลยุทธ์ดังกล่าวหากมีการนำไปวิเคราะห์เพิ่ม เพื่อพัฒนาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมายธุรกิจนั้นๆ ก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
ข่าวเด่น