‘บมจ. ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ – SORKON’ โชว์ผลการดำเนินงานปี 60 ทำนิวไฮ ด้วยกำไรสุทธิ 136.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.9% หลังปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการวัตถุดิบและการผลิตในทุกส่วนช่วยลดต้นทุนลง ด้านบอร์ดฯ มีมติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 2.20 บาทต่อหุ้น ผู้บริหารฯ มองปีนี้เติบโตต่อเนื่องที่ 10% รับเศรษฐกิจฟื้นตัวหนุนกำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น พร้อมปรับแผนกลุ่มธุรกิจ QSR ดันการเติบโต

นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2560 (มกราคม-ธันวาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม2,776.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับปี 2559 เนื่องจากภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจมากนัก ทำให้บรรยากาศการซื้อสินค้าชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนวัตถุดิบและการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปรับกลยุทธ์การซื้อวัตถุดิบในกลุ่มเนื้อปลา เนื้อหมู ส่งผลดีต่อค่าใช้จ่ายโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1.37% เมื่อเทียบกับปี 2559 ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น หรือมีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้น 136.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงปี 2559 ที่ทำได้ 109.2 ล้านบาท

“ในปี 2560 เป็นปีที่เราประสบความสำเร็จในการผลักดันผลการดำเนินงานนิวไฮ เนื่องจากเราบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้อย่างดี อีกทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้เครื่องจักรเข้ามาในไลน์การผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรเราเติบโต” นายเจริญ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานในปี 2560 (มกราคม-ธันวาคม) ในอัตรา 2.20 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 และกำหนดปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 ซึ่งกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 25พฤษภาคม 2561

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SORKON กล่าวว่า ส่วนเป้าหมายในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตชัดเจน ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการจับจ่ายซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่ดีขึ้น ซึ่งในปีนี้ SORKON จะปรับกลยุทธ์ส่วนของธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนภายใต้แบรนด์ยูนนานและแซ่บ คลาสสิก โดยเน้นการกระจายจุดจำหน่ายให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการเดลิเวอรี่ เพื่อรองรับพฤติกรรมการบริโภคของที่นิยมสั่งซื้อสินค้าไปรับประทานที่บ้านเพิ่มขึ้น