การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM+3) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2561
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมกับรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM+3) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2561 ในการประชุมครั้งนี้ผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ประมาณการเติบโตเศรษฐกิจโลกในปี 2561 และ 2562 ที่ร้อยละ 3.9 โดยมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียที่ร้อยละ 6.5 ในปี 2561 และร้อยละ 6.6 ในปี 2562 ทั้งนี้เศรษฐกิจเอเชียยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ปัจจัยบวกของการเติบโตเศรษฐกิจเอเชียโดยหลักมาจากภาคการส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องหนี้ภาคเอกชนและภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงจากตลาดการเงินและนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ยังคงมีความแตกต่างระหว่างความคาดหวังของตลาดและการปรับตัวอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีน และมาตรการตอบโต้จากจีนจะส่งผลให้มูลค่าการผลิตการส่งออกโดยรวมของทั้งสหรัฐฯ และจีนลดลง และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับทั้งสองมหาอำนาจในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ ถึงแม้ในปัจจุบันระบบการเงินยังคงมีเสถียรภาพ แต่จากการที่ภูมิภาคอาเซียน+3 มีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานจึงมีความเสี่ยงต่อปัจจัยภายนอกที่อาจทำให้เงินทุนไหลออก ในการนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชียเสนอให้รัฐบาลของประเทศสมาชิกเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศโดยใช้นโยบายการคลังและภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาระบบสวัสดิการสังคม พัฒนาระบบการศึกษาและการฝึกอาชีพเพื่อพัฒนาทักษะของแรงงานให้ตอบสนองต่อนวัตกรรมด้านการผลิตและอุตสาหกรรมในรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) เสนอให้ประเทศสมาชิกกระจายการพัฒนาในภาคเศรษฐกิจ โดยผสมผสานภาคการผลิตและภาคบริการ ปรับปรุงการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเพื่ออำนวยความสะดวกภาคการค้าและการลงทุน ตลอดจนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาภาคบริการโดยเฉพาะบริการด้านการเงิน
ในส่วนของประเทศไทย AMRO เห็นว่า ถึงแม้ว่าภาคการส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐอเมริกา และการที่นักลงทุนต่างชาติถือตราสารหนี้ระยะสั้นในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเงินทุนไหลออกจากการที่สหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แต่การดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการระเบียงเศรษฐกิจกิจตะวันออก จะช่วยลดความเสี่ยงให้เศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ AMRO สนับสนุนให้ไทยดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินแบบขยายตัวต่อไป
ผู้บริหารของกระทรวงการคลังและธนาคารกลางในที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความเห็นว่าการดำเนินมาตรการปกป้องทางการค้าในลักษณะเดียวกับมาตรการของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยที่สมาชิกไม่สนับสนุนแต่ไม่สามารถควบคุมได้ การแข่งกันออกมาตรการปกป้องทางการค้าจะยิ่งส่งผลให้เกิดสงครามทางการค้า สมาชิกจึงควรเร่งขยายและกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างๆ รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างภายในประเทศให้เหมาะสม
นอกจากนี้ ในประเด็นการเพิ่มศักยภาพของ AMRO ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนงบประมาณและแผนงานด้านบุคลากรปี 2562 รวมถึงข้อเสนอนโยบายต่าง ๆ ของ AMRO ประกอบด้วย (1) นโยบายด้านการสื่อสารกับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะส่วนที่เป็นข้อมูลที่มีความอ่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านกลไกภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่สู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) (2) นโยบายการจัดทำร่าง Partnership Strategy และ Transmittal Policy เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประสานงานและความร่วมมือ รวมทั้งข้อมูลและเอกสารกับองค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรอื่น ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเป็นองค์กรด้านการระวังทางเศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาค (3) AMRO Annual Consultation Report 2017 และ ASEAN+3 Regional Economic Outlook และ (4) ผลการประเมินตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติงานของ AMRO (Performance Evaluation Framework: PEF) และผลการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการ AMRO (Director Junhong Chang จากจีน) รอบปี 2017 โดยมีผลการประเมินเป็นที่น่าพอใจ
ข่าวเด่น