การปฎิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่(IFRS9) แม้จะสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันการเงิน แต่ก็ส่งผลต่อการตั้งสำรอง และอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อของSMEs
ซึ่งรายละเอียดมาตรฐานบัญชีใหม่นี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ข้อกำหนดด้านการจัดประเภทรายการและการวัดมูลค่าทรัพย์สินทางการเงิน, การรายงานเรื่องการด้อยค่าของสินทรัพย์ และการจัดทำบัญชีปกป้องความเสี่ยงในงบการเงิน
ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศ และสมาคมธนาคารไทย ได้แสดงความคัดค้าน และเตรียมทำหนังสือ เพื่อขอให้พิจารณาเลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี IFRS9 ที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 ก.ค.2562 ออกไป เป็นวันที่ 1 ม.ค.2565
นายสุพันธ์ุ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ กกร.เสนอให้เลื่อนการใช้มาตรฐานบัญชี IFRS9ออกไปก่อน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนโดยตรง รวมถึงเสนอให้ภาครัฐตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบเพื่อพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบด้าน โดยให้ตัวแทนจากกระทรวงการคลังทำหน้าที่ประธาน และกรรมการต้องครอบคลุมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจลิสซิ่ง เช่าซื้อ ตัวแทนจากสมาคมบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น
และในหลายประเทศยังชะลอการประกาศใช้มาตรฐานบัญชีดังกล่าวออกไปก่อน เช่นในญี่ปุ่นที่เปิดโอกาสให้เอกชนเลือกว่าจะใช้มาตรฐานการบัญชี IFRS9 หรือไม่ ขณะที่จีนยังชะลอการประกาศใช้ออกไปอีกหลายปี ซึ่งหากประเทศไทยรีบประกาศใช้ก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตประกอบกับสภาพตลาดเงินระบบการปล่อยกู้ให้กับเอสเอ็มอียังไม่ดีนัก จึงไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้น ดังนั้นจึงควรศึกษาผลกระทบให้มีความชัดเจนก่อนบังคับใช้ เพื่อจะได้กำหนดแนวทางในการนำมาตรฐานมาใช้งานให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า มาตรฐานบัญชีใหม่จะส่งผลกระทบต่อทุกธนาคาร ส่วนแบงก์รัฐเองคาดว่า จะเริ่มใช้มาตรฐานนี้ประมาณปี 2562-2563 ธนาคารได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ในช่วงนี้ยังไม่ต้องตั้งสำรองเพิ่ม แต่หากเปลี่ยนระบบเมื่อใด ก็พร้อมที่จะสำรองเพิ่ม ด้วยกำไรที่มีอยู่กว่า 3 หมื่นล้านบาท เพียงพอที่จะรองรับได้
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า หากมีการเลื่อนใช้มาตรฐานบัญชีIFRS9ออกไป ไม่เพียงส่งผลดีต่อธุรกิจธนาคารเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจอื่นๆ ที่จะต้องใช้มาตรฐานบัญชีนี้เช่นเดียวกัน เพราะความจริงแบงก์มีการปรับตัวรองรับมาต่อเนื่อง แต่ธุรกิจอื่นๆอาจจะยังไม่พร้อมโดยเฉพาะเรื่องการลงบัญชีที่จะต้องสะท้อนFair Value ซึ่งในบางธุรกิจไม่ได้ประเมินบ่อยๆ หรือไม่เคยมีการประเมินมาก่อน
นายอาทิตย์ มาสถิรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หากเลื่อนบังคับใช้มาตรฐานบัญชี IFRS9 ออกไปจากกำหนดเดิมเดือน ม.ค. 2562 ในระยะสั้นจะเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการเข้าถึงสินเชื่อได้ เพราะธนาคารพาณิชย์ยังมีความสามารถในการสนับสนุนสินเชื่อได้โดยไม่ต้องกังวลกับการตั้งสำรองที่เปลี่ยนไป
แต่เมื่อมาตรฐานบัญชีใหม่มีผลบังคับใช้ จะทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น เนื่องจากธนาคารมีภาระในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยง ซึ่งการตั้งสำรองเป็นต้นทุนของการปล่อย สินเชื่อก็อาจส่งผลให้การกำหนดดอกเบี้ยของเอสเอ็มอี (Pricing) แพงขึ้นด้วย และหากเลื่อนระยะเวลาการใช้ออกไปนาน อาจไม่เป็นผลดี เพราะหากไทยไม่ทำตามมาตรฐานโลก อาจกระทบกับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เรตติ้ง) ของธนาคารไทย ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในสายตานักลงทุน ในด้านหนี้เสียที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะที่นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) มองว่า มาตรฐานบัญชี IFRS 9 จะส่งผลต่อการตั้งสำรองหนี้เสียของแต่ละธนาคาร โดยคาดว่า แนวโน้มการขายหนี้เสีย หรือ NPLs ในระบบปีนี้ จะมียอดขายออกมาไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่สูงถึง 120,000 ล้านบาท นอกจากนี้ธนาคารส่วนใหญ่ได้เตรียมความพร้อมใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ โดยหนี้ที่ขายออกมาส่วนใหญ่เป็นหนี้เอสเอ็มอี และรายย่อย
ข่าวเด่น