กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ พร้อมต้อนรับนักลงทุนจากทั่วโลกดึงเงินลงทุนเข้าสู่ธุรกิจสตาร์ทอัพ ในงาน STARTUP THAILAND2018 ในวันที่ 17-20 พฤษภาคมศกนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นับเป็นปีที่ 3 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จัดงานมาอย่างต่อเนื่อง ธีมงานปีนี้คือ “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน - ENDLESS OPPORTUNITIES” ซึ่งไฮไลท์ของงานจะเป็นการรวม 5 ความยิ่งใหญ่ที่สุด (BIGGEST) ใน”เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ของวงการสตาร์ทอัพมาไว้ที่นี่ ชี้เป็นโอกาสที่คนรุ่นใหม่ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ที่จะไปสัมผัสกับความเป็นไปได้และโอกาสไม่สิ้นสุดของวงการสตาร์ทอัพไทย
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าวการจัดงาน STARTUP THAILAND 2018 ว่า “จากนโยบายรัฐบาลและวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ให้เป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Warrior) โดยประกาศเป็นนโยบายเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559 ว่า เรากำลังปลูกต้นไม้ใหม่ ภายใต้ “Startup” ที่จะเป็นธุรกิจรุ่นใหม่ในอนาคต โดยเราจะต้องทำให้ต้นไม้เหล่านี้เจริญเติบโตและออกดอกออกผลให้ได้ภายใน 2 ปี “ซึ่งวันนี้ กระทรวงวิทย์ฯ ขอประกาศความสำเร็จในการสร้าง “สตาร์ทอัพ”นักรบทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวต่อไปว่า “รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ 4 ประการ ได้แก่ “วิทย์แก้จน-วิทย์สร้างคน-วิทย์เสริมแกร่ง-วิทย์สู่ภูมิภาค”ผลสำเร็จ 2 ปีที่ผ่านมาของ STARTUP THAILANDสามารถตอบโจทย์นโยบายทั้ง 4 ประการนี้ โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมใหม่ สร้างเทคโนโลยีใหม่ ที่ใช้ได้จริง นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมสาขาต่างๆ ของประเทศ และเกิดการสร้างงาน สร้างคน ที่เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศในยุคไทยแลนด์ 4.0 การดำเนินงานของ STARTUP THAILANDที่ผ่านมาเราประสบผลสำเร็จและมีชัยชนะเกิดสตาร์ทอัพรุ่นใหม่Excellence และสตาร์ทอัพดาวรุ่ง New Star รวมมากกว่า 30 ราย, เกิด UNICORN รายแรกของประเทศ, เกิดสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและดำเนินธุรกิจจริง1,500 ราย และยังมีธุรกิจสตาร์ทอัพอีก 8,500 ราย ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนดำเนินธุรกิจรวมถึงก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่มากกว่า 15,000 อัตรา ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะกลายเป็นกำลังแรงงานที่มีทักษะทางเทคโนโลยีและทักษะด้านความเป็นผู้ประกอบการสูงเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศรวมทั้งดึงเม็ดเงินลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพจากนักลงทุนภายในและต่างประเทศทั้งเอกชนและภาครัฐรวม 44,000 ล้านบาท
นอกจากนี้กระทรวงวิทย์ฯ ยังบ่มเพาะสตาร์ทอัพรายใหม่ โดยร่วมกับสถาบันการศึกษา 34 มหาวิทยาลัยแห่งผู้ประกอบการ(Entrepreneurial University) สร้างระบบนิเวศให้แก่นิสิต นักศึกษา มากกว่า 40,000 คน และขยายฐานการสร้างสตาร์ทอัพไปยังวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวะทั้งภาครัฐและเอกชน รวม 886 แห่ง โดยเสริมทักษะของการเป็นผู้ประกอบการและความสามารถในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา รวมประมาณ 100,000 คน ทั่วประเทศ
2 ปีของการสร้างนักรบเศรษฐกิจใหม่ก่อให้เกิดกระแสตื่นตัวเรื่องสตาร์ทอัพในประเทศเกิดภาพ THAILAND STARTUP UNIVERSE ที่เป็นความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคสังคม ภาคประชาชน ที่ขยายสู่วงกว้างและ เติบโตอย่างต่อเนื่องที่สำคัญกรุงเทพมหานคร ได้รับการยกให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพอันดับ 1 ในเอเชีย และเป็นอันดับ 7 ของโลก ทำให้เกิดพันธมิตร และเครือข่ายในต่างประเทศ มากกว่า 30 หน่วยงาน ใน 15 ประเทศได้แก่ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ อิสราเอล อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส เบลเยียม ออสเตรีย สหราชอาณาจักร (UK) และสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังสามารถขจัดทุกปัญหาและอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาทางด้านกฎหมาย โดยมีการแก้ไข พรบ.เพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อธุรกิจสตาร์ทอัพ, พรบ.ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ, SMART Visa เป็นต้น”
ดร.สุวิทย์ กล่าวย้ำว่า ระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (Startup Ecosystem) ของไทยถือได้ว่า มีการเติบโตแบบติดจรวด เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เริ่มดึงดูดสตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา ซึ่งก้าวต่อไป เราตั้งเป้าว่าสตาร์ทอัพจะเข้ามามีบทบาทพัฒนาและเปลี่ยนแปลงการทำงานของภาคเอกชน มีการนำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้าขึ้น ความสนใจของสตาร์ทอัพจะหันมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech)ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการต่างๆ ที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ในประเทศไทย พัฒนาอุตสาหกรรมหลักของประเทศให้ก้าวหน้าขึ้นไป นั่นคือความคาดหวังที่จะเกิดขึ้นในก้าวต่อไปของ STARTUP THAILAND โดยเริ่มต้นจากการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในงาน STARTUP THAILAND 2018 ที่จะเกิดขึ้น 17-20 พฤษภาคมนี้
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวถึงไฮไลท์ของงาน STARTUP THAILAND 2018 ที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้ว่า จะเป็นการรวม 5 ความยิ่งใหญ่ที่สุด (BIGGEST) ของงานสตาร์ทอัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาไว้ในงานเดียว ตั้งแต่
- • BIGGEST STARTUP EVENT in Southeast ASIA เป็นงานของสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุด โดยภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาคม เครือข่ายความร่วมมือจาก 25 ประเทศ พร้อมจัดแสดงผลงานมากกว่า 400 สตาร์ทอัพ
- • BIGGEST PARTICIPANTS in Southeast ASIA เป็นงานมีจำนวนผู้เข้าร่วมและชมงานมากที่สุดในภูมิภาค
- • BIGGEST TECH Conferencein Southeast ASIA ภายใน 4 วันของการจัดงาน มี 18 TECH Conference
- • BIGGEST Hackathons in Southeast ASIA การแข่งขันที่รวมคนมีไฟและความฝันมาเค้าพลังสมองและความคิดมากกว่า 1,500 คน กับ 2 วัน 1คืน ในการแข่งขันกับ 5 หัวข้ออันท้าทาย
- • BIGGEST PITCHING Stages in Southeast ASIA การค้นหาสุดยอดสตาร์ทอัพระดับประเทศประจำปี 2018 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 1 ล้านบาท
นอกจากนั้น พบวิทยากรชั้นนำระดับโลกที่จะมาบรรยายแชร์ประสบการณ์กว่า 500 คนจากไทย 350 คน ต่างประเทศ 150 คน ตลอด 4 วันของการจัดงาน ทั้งจากผู้บริหารระดับสูงจากคนที่ล้มลุกคลุกคลาน และปลุกปั้นบริษัทมากับมือรวมถึงเหล่านักคิดนวัตกรรมและกลุ่มคนผู้พร้อมลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก รวมทั้งกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ เวทีพบปะนักลงทุน (SPEED Dating), JOB Fest, Makerspace ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในงาน STARTUP THAILAND 2018 ภายใต้ธีม (Theme) ของงานคือ “โอกาสที่ไม่สิ้นสุดของทุกคน- ENDLESS OPPORTUNITIES” เพราะทุกท่านคือเจ้าของแพลตฟอร์มที่เราสร้างมาด้วยกัน ซึ่งงานดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในวันที่ 17-20 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
“ปัจจุบันเราได้ก้าวสู่ทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง ก้าวสู่ยุคเทคโนโลยี นวัตกรรมและดิจิตอล เมล็ดพันธุ์ใหม่ คนรุ่นใหม่ ต้องแสวงหาโอกาสและทางเลือกเพื่อก้าวสู่อาชีพใหม่ของการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งคนรุ่นใหม่จะก้าวสู่อาชีพใหม่ เพื่อทำให้ตนเองอยู่รอดและประเทศก็จะอยู่รอด โดยในงานจะเป็นโอกาสทึ่ให้กับทุกคน ที่ให้ความรู้ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญ กูรูผู้รู้มาให้คำแนะนำ มีเงินทุนและแหล่งเงินทุน อีกทั้งวิธีการและแนวทางที่เป็นตัวอย่างให้เห็น นอกจากนี้ก็ยังจะมีเพื่อนสตาร์ทอัพ มีพันธมิตร มีประชาคม และเครือข่ายในต่างประเทศ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของทุกคนทีไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง” ดร.สุวิทย์ กล่าวในตอนท้าย
ข่าวเด่น