เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
รัฐไม่ห่วงความสามารถในการแข่งขันของไทยปี61 ร่วงลง3 อันดับ


แม้อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในปี 2561 จะลดลง  3 อันดับมาอยู่ที่ อันดับ 30 ในปีนี้  แต่รัฐบาลยังมั่นใจว่านโยบาบที่ดำเนินการจะส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาว ประกาศเดินหน้าโครงการต่อ

 


 

พล..สรรเสริญ  แก้วกำเนิด  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเยว่า พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย IMD ประจำปี 2561   ซึ่งประเทศไทยมีอันดับลดลงจากอันดับที่ 27 เมื่อปีที่แล้ว เป็น อันดับที่ 30 ในปีนี้ ว่า สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากการใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลของรัฐบาล เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้กระทบต่อปัจจัยการประเมินด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเชื่อว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวการลงทุนนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม

ขณะที่ประสิทธิภาพของรัฐเรื่องอื่นๆ  ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก  เช่น การแก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐให้มีความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ การปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  อัตราภาษีการบริโภค การสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ฯลฯ

ส่วนปัจจัยการประเมินอีก 3 ด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์   ที่เกิดจากการลงทุนของรัฐบาล มีอันดับดีขึ้น และด้านสภาวะเศรษฐกิจกับด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจนั้น มีอันดับคงเดิม

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าแม้อันดับโดยรวมของไทยจะลดลง  เป็นทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในอาเซียน แต่คะแนนดิบที่ได้รับคือ 79.450  ยังคงสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของโลกที่ 76.61 และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซียเช่นเดียวกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอื่น เช่น ด้านสังคม การศึกษา และสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและความจำเป็นในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมให้อันดับของไทยดีขึ้นต่อไป

 

 

ขณะที่ ดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า   อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ลดลงในปีนี้    รัฐบาลไม่ได้รู้สึกกังวลมากนัก  โดยเฉพาะในส่วนของประสิทธิภาพของภาครัฐ  เนื่องจากอันดับที่ลดลงนั้นมาจากการขาดดุลภาคการคลังที่เพิ่มขึ้น    ซึ่งเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างต่อเนื่อง  อันถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต

ส่วนของการจัดอันดับที่ลดลง  จากการที่บริษัทมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากลูกจ้างเพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลยังยืนยันว่า  จะดำเนินนโยบายในส่วนนี้ต่อไป เพราะนโยบายที่บริษัทเรียกเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนฯ ในส่วนของลูกจ้างเพิ่มขึ้นนั้น  เพื่อเป็นการเตรียมการสำหรับรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต 

ดังนั้นหากไม่มีการเตรียมการเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ  ในอนาคตก็จะมีปัญหา เพราะปัญหาหลักของประเทศไทยคือ สังคมผู้สูงวัย  การที่มีบริษัทเอกชนทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าคะแนนจะลดลง  แต่รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าตามแนวทางนี้ต่อไป 

อย่างไรก็ตามรัฐบาล เตรียมมอบหมายให้แก่  นายทศพร  ศิริสัมพันธ์  เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือเลขาสภาพัฒน์คนใหม่ ให้ไปหาแนวทางเพื่อตอบโจทย์เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยให้หาดัชนีตัวอื่นที่สามารถควบคุมได้  มาช่วยชดเชยดัชนีบางตัวที่อันดับลดลงไป เช่น การเข้าถึงดิจิทัล

นอกจากนี้ เชื่อว่าในปีถัดไปประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในอันดับที่ดีขึ้นกว่าปีนี้   เพราะล่าสุด จากภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/61 ที่ขยายตัวได้ถึง 4.8% และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี   ซึ่งจะมีผลให้ดัชนีเศรษฐกิจในประเทศตัวอื่นๆ ปรับตัวดีขึ้นด้วย   และน่าจะช่วยให้อันดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต ติดอยู่ใน 20 อันดับตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 30 พ.ค. 2561 เวลา : 09:06:44
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 3:30 pm