ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นปัจจัยหลักทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน แม้รัฐบาลจะพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 2,239 คนทั่วประเทศ ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.61 อยู่ที่ 80.1 ลดลงจาก 80.9 ในเดือนเม.ย.61 และเป็นการปรับลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 66.9 ลดจาก 67.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 75.2 ลดจาก 75.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 98.3 ลดจาก 99.1 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 54.4 ลดจาก 55.3 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ 91.3 ลดจาก 91.9
สาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง มาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และมีกระแสข่าวที่ราคาน้ำมันดีเซลจะทะลุ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นผลทางจิตวิทยาเชิงลบต่อผู้บริโภค ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกช็อกและ ชะลอการใช้จ่าย โดยดัชนีค่าครองชีพปรับลดลงมาอยู่ที่ 59.3 ต่ำสุดในรอบ 47 เดือน และเป็นครั้งแรกในรอบ 48 เดือนหรือ 4 ปีที่ผลสำรวจส่วนใหญ่ 51% ระบุว่าค่าครองชีพอยู่ในระดับแย่ และยังได้รับผลเชิงลบจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่นิ่ง ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ และความวิตกปัญหาสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
แม้ความกังวลที่เกิดขึ้น จะทำให้ความเชื่อมั่นมีสัญญาณชะลอลง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณว่าปัจจัยลบที่เกิดขึ้นจะยาวนานไปกว่านี้ จึงมองว่าความเชื่อมั่นจะฟื้นตัวแบบอ่อนๆ โดยต้องรอดูสัญญาณให้นิ่งก่อน โดยเฉพาะราคาน้ำมัน และมาตรการตอบโต้กลับของสหรัฐฯ ในสงครามการค้า ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในไตรมาส 2 และ 3
ขณะที่นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ได้ประเมินจากเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2561 ที่ผ่านมาเติบโตถึงร้อยละ 4.8 นับเป็นไตรมาสที่ขยายตัวสูงสุดของปีนี้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงบ้างจากสินค้าคงคลัง แต่ยังเชื่อว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ทั้งปีน่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบประมาณการที่ปัจจุบันคาดไว้ที่ร้อยละ 4-4.5 ขณะที่การส่งออกขยายตัวไว้ที่ร้อยละ 5-8 และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดไว้ที่ร้อยละ 0.7-1.2
ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ อาทิ ราคาสินค้าเกษตรบางรายการที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน จะเป็นแรงกดดันต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงที่เหลือของปี ส่วนประเด็นต่างประเทศนั้น ในระยะสั้นคงอยู่ที่เสถียรภาพของยูโรโซน จากประเด็นการเมืองในอิตาลี รวมถึงแนวนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนกติกาไปจากเดิมและอาจนำมาสู่การตอบโต้ทางการค้าจากประเทศคู่ค้าหลักในโลก ซึ่งอาจไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อภาพรวมการค้าโลกและคงส่งผลให้ตลาดเงินและตลาดทุนโลกมีแนวโน้มผันผวนต่อไป
ข่าวเด่น