ธุรกิจนาฬิกาถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดระดับกลางลงล่าง เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเศรษฐกิจชะลอตัว จึงทำให้ตลาดนาฬิการะดับล่างมียอดขายชะลอตัวเมื่อเทียบกับตลาดระดับบนที่ยังมียอดขายเติบโตเป็นที่น่าพอใจ เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงทำให้ผู้ประกอบการนาฬิกาหันมารุกตลาดระดับบนมากกว่าการรุกตลาดระดับกลางและล่าง เช่นเดียวกับแบรนด์ไซโก และซิติเซ็น ที่ออกมาเดินหน้าเปิดตัวสินค้าคอลเล็คชั่นใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อโดยเฉพาะ
นายคัตซึมิ คูโบตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก ประเทศไทย จำกัด ผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ไซโก และอัลบา กล่าวว่า ตลาดนาฬิกาในประเทศไทยเริ่มมีสัญญาณเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับไฮเอนด์ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวบริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์ในการแข่งขัน ด้วยการนำแบรนด์แกรนด์ไซโก เข้ามาแข่งขันตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดของนาฬิกาดิจิทัลจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองในด้านของราคาจะพบว่ามีการปรับราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะมีผู้เล่นเข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงแม้ว่าตลาดนาฬิกาดิจิทัลจะมีการแข่งขันราคากันค่อนข้างรุนแรง ในส่วนของแบรนด์ไซโกไม่มีแผนที่จะเข้าไปแข่งขันในด้านดังกล่าว เนื่องจากแบรนด์ไซโก ต้องการมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและมีเอกลักษณ์ ส่งผลให้ราคาขายจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1-4.5 แสนบาทตามแต่รุ่นและคอลเลคชั่น
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ ไซโก ยังคงมุ่งเน้นไปที่การสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงจะสร้างประสบการณ์ของสินค้าที่นำนวัตกรรมเทคโนโลยี ผสมกับความประณีตผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายและการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้ที่ชื่นชอบ
ขณะเดียวกัน ยังได้ทำการปรับกลยุทธ์ในการทำตลาด ด้วยการจำหน่ายสินค้าผ่าน ไซโก บูทีค ซึ่งปีนี้ ไซโก มีแผนที่จะเปิดให้บริการจำนวน 4 สาขา ได้แก่ สาขาดิ เอ็มโพเรียม สาขาสยามพารากอน สาขาเซ็นทรัลชิดลม และสาขาเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ซึ่งหากทั้ง 4 สาขาที่จะเปิดให้บริการได้ผลการตอบรับดี ไซโก ก็มีแผนที่จะขยายร้านในรูปแบบบูทีคเพิ่มทันที
ขณะเดียวกัน ไซโก ยังจะให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย ด้วยการใช้ศูนย์บริการ SEIKO Service Center แห่งเดียวกับแบรนด์ไซโก เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร เนื่องจาก SEIKO Service Center มีช่างซ่อมนาฬิกา 3 คนที่ได้รับใบประกาศนียบัตรผ่านการฝึกอบรมการซ่อมแซมนาฬิกาแกรนด์ ไซโกจากญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ไซโก จึงจะใช้จุดขายดังกล่าวมาสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ไซโก มั่นใจว่าจะสร้างยอดขายในสิ้นปีนี้ให้มีอัตราการเติบโตเป็นเลข 2 หลัก ขยับอันดับความนิยมขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำของตลาดนาฬิกาในประเทศไทย เช่นเดียวกับในประเทศญี่ปุ่นที่แบรนด์ไซโก ได้ขยายฐานลูกค้าจนมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในอันดับที่ 3 ของตลาดนาฬิกาหรู
อีกหนึ่งแบรนด์ที่ออกมาทำการตลาดอย่างคึกคักในตลาดนาฬิกาตลาดระดับบน คือ แบรนด์ซิติเซ็น และจากการที่ปีนี้เป็นปีที่แบรนด์ ซิติเซ็น ครบรอบ 100 ปี จึงมีแผนที่จะนำนาฬิกาต้นแบบหลายรุ่นที่จัดแสดงในงาน “บาเซิลเวิลด์ 2018” ปลายปีนี้ เข้ามาจำหน่ายในไทย เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 100 ปี
สำหรับคอลเล็คชั่นที่ ซิติเซ็น มีแผนที่จะนำมามาจำหน่าย ประกอบด้วย CITIZEN Cal.0100 นาฬิกาพกพลังงานแสงเรือนแรกของโลกที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพื่อรำลึกถึงนาฬิกาพกเรือนแรกของซิติเซ็นที่เปิดตัวในปี 1924 , CITIZEN PROMASTER รุ่นใหม่ นาฬิกาสำหรับนักกีฬามืออาชีพทั่วโลก สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คำว่า "GO BEYOND" ที่ยึดหลักสำคัญ 3 ประการ คือ “ฟังก์ชันการทำงาน” “ความทนทาน” และ “ความปลอดภัย” แบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ PROMASTER MARINE นาฬิกาที่ดำน้ำในระดับความลึกได้ถึง 200 เมตร และรุ่น PROMASTER SKY Cal.E660 ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการทำงานของนักบิน และปรับเวลาตามสัญญาณวิทยุ
อีกหนึ่งคอลเล็คชั่นที่จะนำเข้ามา คือ CITIZEN Eco-Drive Bluetooth รุ่นใหม่ นาฬิกาแบบเข็มดั้งเดิมที่รวมคุณสมบัติของการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชั่นของซิติเซ็น ทำให้สามารถตั้งค่าสัญญาณเตือนการใช้งานอย่างชาญฉลาด ปรับเวลาได้ทุกแห่งใน
นางวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีทองพาณิชย์ ผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ซิติเซ็น กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 100 ปีแห่งประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ปี 1918 ซิติเซ็น ยังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นนวัตกรรมแห่งความ เที่ยงตรง และนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตนาฬิกา ภายใต้ปรัชญา "Better Starts Now" นั่นคือ มีความเป็นไปได้เสมอที่จะทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้น และตอนนี้ก็ถึงเวลาแห่งการเริ่มต้นแล้ว
ในส่วนของแผนการทำตลาดในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคให้ความสนใจซื้อมากกว่าการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ ล่าสุดบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่นของแบรนด์ ซิติเซ็น เข้ามาทำตลาด พร้อมดึง ตั้ม ธนบูรณ์ เกษารัตน์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย เข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าดังกล่าว
cr photo i-sport
แนวทางดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เด็กลงมาอยู่ที่กลุ่มอายุ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมกลุ่มลุกค้าเป้าหมายของซิติเซ็นจะมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ซึ่งหลังจากปรับกลยุทธ์การตลาดคาดว่าสิ้นปีนี้แบรนด์ซิติเซ็นจะมียอดขายเติบโตได้ที่ประมาณ 10-15%
จากกลยุทธ์ที่ทั้ง 2 แบรนด์ ออกมาทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ยอดขายสินค้าของแบรนด์ตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว ยังน่าจะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมตลาดนาฬิการะดับบนมีการขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนจะเติบโตเป็นบวกได้หรือไม่นั้น คงต้องรอดูผลการตอบรับของยอดขายที่ทั้ง 2 แบรนด์ออกมาทำการตลาด และรอดูยอดขายของแบรนด์นาฬิกาอื่นๆ ว่าจะออกมาเปิดตัวสินค้าคอลเล็คชั่นใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายมากแค่ไหน
ข่าวเด่น