การลงทุนจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลเตรียมตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานการลงทุนที่มีนายกฯ เป็นประธาน เพื่อขจัดปัญหาอุปสรรคลงทุนด้านกฎหมายและข้อระเบียบต่างๆ คาดประกาศใน 1-2 สัปดาห์นี้
โดยดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานการลงทุนขึ้นมาใหม่อีก 1ชุด เพื่อดูแลนักลงทุนแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว (วัน สต็อปเซอร์วิส) และขจัดปัญหาอุปสรรคในการลงทุนทางด้านกฎหมายและข้อระเบียบต่างๆ แก่นักลงทุนต่างชาติที่จะสนใจเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศ ไทย โดยขณะนี้ได้ร่างหลักการเสร็จ แล้ว อยู่ระหว่างรอให้นายกรัฐมนตรีลงนาม คาดว่าจะประกาศและมีผลบังคับใช้ได้ภายใน 1-2 สัปดาห์จากนี้
ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าว จะเป็นการทำงานแบบบูรณาการ โดยจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน มีรัฐมนตรีหรือตัวแทนจากกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เกษตรและสหกรณ์ พาณิชย์ คลัง และมหาดไทย เป็นต้น โดยมีสำนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นฝ่ายเลขา
ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะไม่ซ้ำซ้อน กับบีโอไอและสำนักงานอีอีซี แต่จะเป็น การหนุน ส่งเสริมให้ดีขึ้น เพราะบีโอไอมีอำนาจในการให้สิทธิประโยชน์ สำนักงานอีอีซีมีอำอาจในการอำนวยความสะดวก ปลดล็อกใบอนุญาตต่างๆ แต่บางครั้ง ยังมีข้อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ ที่อยู่นอกเหนืออำนาจของบีโอไอและอีอีซี ก็จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนี้ที่จะเข้าไปช่วยดูเพื่อให้การลงทุนคล่องตัวขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทขนาดใหญ่ เกิดใหม่หลายแห่ง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาทหลายรายที่สนใจอยากเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย แต่กฎหมายไทยยังไม่รองรับธุรกิจเหล่านี้ จึงทำให้ที่ผ่านมากลายเป็นข้อจำกัดในการลงทุน แต่เมื่อกฎหมายมีการปรับปรุงและยอมรับในธุรกิจใหม่เหล่านี้ เช่น การลงทุนสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอเรนซี) การระดมทุนผ่านเงินสกุลดิจิทัล (ไอซีโอ) การทำสวนป่า ธุรกิจแกร็บแท็กซี่ แกร็บไบค์ จะเป็นโอกาสของไทยที่จะเปิดรับการลงทุนกลุ่มนี้
นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะมีการลงทุนจากกลุ่มสตาร์ทอัพ เช่น ธุรกิจ แอพพลิเคชั่นจองที่พักอย่าง Airbnb หรือ บริษัท แอร์บัส ที่กำลังทดลองทำเครื่องบินแท็กซี่ สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนปีนี้ ยังมั่นใจว่าทำได้ถึงเป้าหมาย 7 แสนล้านบาท ส่วนการลงทุนจากจีน คาดว่าภายในปลายปีนี้จะเห็นชัดว่าสนใจลงทุนธุรกิจอะไรบ้าง เช่น โครงสร้างพื้นฐาน, ดิจิทัล พาร์ค, อสังหาริมทรัพย์, ยานยนต์และยางรถยนต์ ,โลจิสติกส์, เกษตรแปรรูป รวมถึงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
ข่าวเด่น