ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิด รายนายสุรินทร์ บรรยงพงศ์เลิศ กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (PICO) ด้วยการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราโทษสูงสุดตามกฎหมาย พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อ
ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคมถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2560 (รวม 11 วันทำการ) นายสุรินทร์ซื้อขายหุ้นPICO อย่างต่อเนื่องผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองจำนวน 4 บัญชี โดยมีพฤติกรรมของการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นในลักษณะผลักดันราคาให้ปรับตัวสูงขึ้น ด้วยการส่งคำสั่งซื้อเข้ามาในระบบเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น PICO ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และทำให้นักลงทุนทั่วไปเข้าใจว่า ในช่วงเกิดเหตุมีผู้สนใจซื้อหุ้นPICO เป็นจำนวนมาก โดยนายสุรินทร์ได้รับประโยชน์จากการขายหุ้นและทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีผู้ลงทุนได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ ในช่วงเกิดเหตุ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตรวจพบการส่งคำสั่งในลักษณะข้างต้น และแจ้งเตือนไปยังบริษัทหลักทรัพย์ 4 แห่ง ที่นายสุรินทร์ใช้ซื้อขายหุ้นดังกล่าวแล้ว แต่นายสุรินทร์ยังคงส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นในลักษณะเดิม
การกระทำของนายสุรินทร์เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/3 และมีระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม นายสุรินทร์ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จึงมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราโทษสูงสุดตามกฎหมาย โดยขอให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบของ ก.ล.ต. รวมเป็นเงิน 24.54ล้านบาท นอกจากนี้ ยังขอให้ศาลสั่งห้ามนายสุรินทร์ซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ หรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายเป็นเวลา 5 ปี และห้ามนายสุรินทร์เป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
ข่าวเด่น