สัญญาณการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนและเป็นไปตามโรดแมป ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน
โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึง 38.57 จุดมูลค่าการซื้อขายเกือบ 79,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทย แต่ที่ผ่านมานักลงทุนอาจกังวลเรื่องของการเมืองและการเลือกตั้ง จึงทำให้ราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เมื่อทุกอย่างมีความชัดเจน โดยเฉพาะกฎหมายสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งออกมาทั้ง 2 ฉบับ ก็ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลลง และเชื่อว่า จากนี้ไปสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะทยอยปรับอันดับของไทยในทิศทางที่ดีขึ้น
ด้านดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่า สำหรับกิจกรรมการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้น เนื่องจากยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะปลดล็อกมากน้อยแค่ไหน เบื้องต้นรู้แค่ว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนก.พ.2562 และอนุญาตให้มีการหาเสียงล่วงหน้าได้ 60วันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการใช้เงินในกิจกรรมหาเสียงประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.2-0.3% ของจีดีพี
และหากมีการเลือกตั้งท้องถิ่นก็จะมีเม็ดเงินเติมเข้าไปอีก เมื่อโรดแมปการเลือกตั้งเกิดขึ้นชัดเจน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะตามมา เพียงแต่ต้องคอยดูต่อว่านโยบายต่างๆจะยังเดินต่อเนื่องหรือไม่ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) หากกรอบนโยบายรัฐไม่เปลี่ยนไปมาก บรรยากาศต่างๆ จะเริ่มดีขึ้นและเริ่มเห็นเศรษฐกิจไทยคึกคัดโดดเด่นขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่าค่าเงินบาทในวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมาก เปิดตลาดที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และแข็งค่าสุดที่ระดับ 32.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 32.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยรับแรงหนุนจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่การเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแมพที่วางไว้ หลังจากพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญการได้มา ซึ่งส.ว. ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
แต่สำหรับมุมมองภาคเอกชนสิ่งที่ภาคเอกชนเป็นห่วงนั้น นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังจากมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 และพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561นั้น จะเรียกความเชื่อมั่นประเทศไทยในสายตานานาประเทศมากขึ้น โดยสิ่งสำคัญจะต้องติดตามว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง มีความสงบหรือไม่ หากเกิดการไม่ยอมรับ และมีความวุ่นวายเกิดขึ้นจนรัฐบาลใหม่ ไม่สามารถควบคุมได้ จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากสิ่งที่นักลงทุนอยากเห็นมากที่สุด คือ ความสงบในประเทศ
ข่าวเด่น