เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงกว่ากว่า 40 จุดก่อนที่จะย่อตัวเล้กน้อยลงมาบวกร้อนแรง 38 จุด หรือเพิ่มขึ้น 2.30% สูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ด้วยมูลค่าการซื้อขายเกือบ 80,000 ล้านบาท หุ้นไทยที่ทะยานขึ้นมาร้อนแรงรอบนี้ เนื่องจากมีหลากหลายปัจจัยเข้ามาหนุน
“แต่หลักๆ ที่สำคัญเห็นจะเป็นการตอบรับพัฒนาทางบวกของการเมืองไทย ที่เห็นภาพการเลือกตั้งชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาสว.มีผลบังคับใช้วันที่ 13 ก.ย.2561 ก็คือวันนี้ ส่วนพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะมีผลบังคับใช้อีก 90 วัน ก็คือราววันที่ 11 ธ.ค.2561”
นอกจากปัจจัยการเมืองในประเทศแล้ว แรงหนุนตลาดยังมาจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น และกรณีที่สหรัฐอเมริกาและจีน มีสัญญาณดีจะเจรจากันในข้อพิพาทการค้าอีกครั้ง
จากปัจจัยบวกรายล้อมตลาดหุ้นไทยรอบนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP มองว่า ตลาดหุ้นไทยตอบรับประเด็นการเลือกตั้งเร็วและแรงเกินไป เนื่องจากสถิติย้อนหลังช่วง 6 เดือนก่อนมีการเลือกตั้ง หากสำรวจข้อมูลมา 6 ครั้งหลังสุด พบว่า SET Index ปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.84% เท่านั้น โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวก 4 ใน 6 ครั้ง
ขณะที่ในช่วงเดียวกันนั้น เมื่อไปดูข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในระดับที่ไม่สูงมาก มียอดซื้อสุทธิเฉลี่ยเพียง 2.6 พันล้านบาทต่อครั้ง ในช่วง 6 เดือนก่อนเลือกตั้ง และเป็นการซื้อสุทธิ 2 ใน 6 ครั้ง (ดังภาพ)
จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ และจากข้อมูลสถิติย้อนหลังดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯเชื่อว่า ตลาดคาดหวังประเด็นเลือกตั้ง รวมถึงโอกาสที่ Fund Flow จะไหลกลับเข้ามาหนุน SET Index มากเกินไป ขณะที่เมื่อไปดูพรรคการเมือง ก็ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ ที่จะหาเสียงในการเลือกตั้งได้ จนกว่าจะเป็นช่วงหลังจากวันที่ 11 ธ.ค.2561 แล้ว
ประกอบกับปัจจุบัน พบว่า ราคาหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัท ปรับตัวขึ้นมาแรงจนมี upside จำกัดแล้ว จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่อาจมีออกมา ซึ่งในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนควรต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น (Selective Buy) เพื่อลดความเสี่ยง
ดังนั้นฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนแรก ควรเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง, ราคายัง Laggard ได้แก่ BANPU, CENTEL, BGRIM, LPN และ TFG
ส่วนที่สองควรเลือกหุ้นรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากจะตอบรับ Sentiment การเลือกตั้ง ได้แก่ CK, SEAFCO, SCC และ SCCC
และส่วนที่สาม ควรเลือกหุ้น Domestic ที่เกาะกระแสการเมืองในประเทศ ได้แก่ ADVANC, BJC และเก็งกำไรหุ้น CPALL หลังราคาปรับฐานแรงจนมี upside สูง รวมถึง MACO
ข่าวเด่น