“สแกน อินเตอร์” ปิดดีลซื้อหุ้น GEP Thailand เพื่อร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู เมียนาร์ กำลังการผลิตรวม 220 MW จากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนขายแบบเฉพาะเจาะจงกว่า 21.69 ล้านหุ้น ในราคาจองซื้อ 4.50 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาตลาด ให้ Noble Planet และชำระเป็นเงินสดให้ “Planet Energy Holdings” หนุนบริษัทถือหุ้นเพิ่มเป็น 49% ส่งผลดีรับรู้รายได้ขายไฟฟ้าจากโครงการนี้ตลอดอายุ 30 ปี และสร้างความมั่นคงของรายได้ในระยะยาว หลังเริ่ม COD ในเฟสแรก 50 MW ภายในเดือน ม.ค.62
บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร ได้บรรลุข้อตกลงในรายละเอียดการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท GEP Thailand จำกัด เพิ่มเป็น 49% จากเดิมที่ SCN ถือหุ้นอยู่แล้ว 30% เพื่อร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 MW ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
โดย GEP Thailand เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ที่ถือหุ้น 100% ในบริษัท GEP Myanmar จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเมียนมาร์ ให้เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ และทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ บริษัท Electric Power Generation Enterprise จำกัด (EPGE) ระยะเวลาทั้งสิ้น 30 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการจ่ายไฟฟ้า
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนเพิ่มเติมอีก 19% จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยในส่วนแรก บริษัทจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 21,695,286 หุ้น ในราคา 4.50 บาท เพื่อจัดสรรให้แก่ Noble Planet เพื่อชำระเป็นค่าหุ้น GEP Thailand จำนวน 12.37% ของทุนจดทะเบียน
ส่วนหุ้นสามัญที่เหลือของ GEP Thailand อีก 6.63% ของทุนจดทะเบียนนั้น จะชำระเป็นเงินสดให้แก่ Planet Energy Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นผู้ถือหุ้นดั้งเดิมในบริษัท GEP Thailand เพื่อให้ SCN ถือหุ้นครบ 49% ใน GEP Thailand ตามที่กำหนด
ทั้งนี้ การที่ Noble Planet เข้ามาซื้อหุ้นใน SCN ในราคาที่สูงกว่าตลาดนั้น สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินงานของ SCN ที่แข็งแกร่ง และเชื่อมั่นต่อการผลักดันการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบูให้ประสบความสำเร็จได้ตามแผนที่วางไว้ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย
“การเข้าลงทุนของ SCN ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเข้าร่วมลงทุนดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นโครงการที่มีศักยภาพที่ดีมาก และสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ต้องการขยายฐานธุรกิจจากพลังงานก๊าซธรรมชาติไปสู่พลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่มที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ไปยังประเทศใหม่ๆ ในภูมิภาคนี้เพิ่มเติมในอนาคต” ดร.ฤทธี กล่าว
ดร.ฤทธี ประเมินว่า การเข้าลงทุนเพื่อร่วมดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบูในครั้งนี้ จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) เฉลี่ยอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังเป็นการสนับสนุนผลการดำเนินงานในระยะยาวของ SCN ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงจากการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring Income) ที่มาจากการรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าสู่ระบบ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวตลอดอายุ 30 ปี ซึ่งในเฟสแรกบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการ COD จำนวน 50 MW ในเดือนมกราคม 2562 นี้
ข่าวเด่น