พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยไม่รวมสินค้าและบริการที่มีภาษีสรรพสามิต สำหรับการชำระราคาสินค้าและบริการจากร้านธงฟ้า ประชารัฐหรือร้านค้าเอกชนอื่นที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผ่านเครื่อง EDC ที่มีการเชื่อมต่อระบบ POS
โดยร้านค้าดังกล่าวต้องส่งข้อมูลให้แก่กรมบัญชีกลางผ่านระบบที่ บมจ. ธนาคารกรุงไทย พัฒนารองรับการทำงานนี้ แต่ข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะได้รับเงินชดเชยจะต้องเป็นข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.61 – 30 เม.ย.62 รวมระยะ 6 เดือนเท่านั้น
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ทั้งนี้ ให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ เพื่อนำมาประมวลผลคัดแยกจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7 ออกจากราคาสินค้าและบริการที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปจริงในแต่ละเดือน โดยกันไว้ร้อยละ 1 ซึ่งเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระราคาสินค้าและบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ส่วนที่เหลือร้อยละ 6 ให้นำมาจำแนกข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ร้อยละ 5 เพื่อการใช้จ่าย และส่วนที่ 2 ร้อยละ 1 เพื่อการออม โดยเงินชดเชยที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับทั้ง 2 ส่วน เมื่อรวมกันแล้ว ต้องไม่เกินจำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ทั้งสิ้น จำนวน 5,000 ล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า และได้อนุมัติค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ POS สำหรับร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย โดยจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 90 ล้านบาท และมอบหมายให้สำนักงบประมาณเร่งรัดการพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าว เพื่อให้กรมบัญชีกลางสามารถดำเนินการจ้าง บมจ. ธนาคารกรุงไทย ได้ทันวันที่ 1 ต.ค.61 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยผู้ที่มีรายได้น้อยกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี และผู้ที่มีรายได้น้อยมาก คือต่ำกว่าสามหมื่นบาทต่อปี
ข่าวเด่น