รัฐสั่งรับมือสงครามการค้ากระตุ้นพาณิชย์ดันธุรกิจบริการ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ยังมีการตอบโต้และรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐของไทยก็สั่งเตรียมพร้อมและหามาตรการรับมือกับการส่งออกที่จะได้รับผลกระทบ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายทำงานให้ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เตรียมมาตรการดูแลการส่งออก หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีสินค้าระหว่างกัน ซึ่งเป็นการเตรียมการเพื่อไม่ให้เกิดความประมาท และยังได้ขอให้เน้นผลักดันธุรกิจบริการให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นภาคธุรกิจที่ใหญ่ และสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จะเรียกประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าไทยในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ทั่วโลก ที่จะเดินทางมาร่วมงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ในวันที่ 19-21 ต.ค.2561 เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกและปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อการส่งออก โดยเฉพาะสงครามการค้าที่ยืดเยื้ออยู่ในขณะนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่าการส่งออกสินค้าไทยปี 2561 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 8% แน่นอน แต่จะมีการปรับเป้าหมายใหม่หรือไม่ ต้องรอการประเมินก่อน รวมทั้งจะประเมินตัวเลขส่งออกของปี 2562
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงผลการวิเคราะห์กรณีสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีน5,745 รายการ ในอัตรา 10% มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.2561 ก่อนปรับเป็น 25% ในวันที่ 1 ม.ค. 2562 ว่า ไทยมีศักยภาพส่งออกสินค้าทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้นหลายรายการ ได้แก่ ข้าวสี ยางแท่ง มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด และ น้ำผึ้งธรรมชาติ เป็นต้น
ขณะที่ จีนประกาศตอบโต้สหรัฐ โดยจะขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐ 5,207 รายการ ในอัตรา 5-25% มูลค่ารวม 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง สนค. จะมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดและประเมินผลกระทบและโอกาสของไทยต่อไป
โดยสนค. ประเมินว่า สงครามการค้ายังไม่มีทีท่ายุติในระยะอันใกล้ และมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงและมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ และความมั่นคง มาร่วมหารือ เพื่อกำหนดจุดยืนที่เหมาะสมในช่วงที่เกิดสงครามการค้า และกำหนดแนวทางการรับมือที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับไทย โดยได้ข้อสรุปว่า ไทยควรให้ความสำคัญกับการหาพันธมิตรทางการค้า และต้องระวังในประเด็นด้านความมั่นคงที่จะเชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจ และควรใช้โอกาสเป็นประธานอาเซียนปี2562 ผลักดันกลไกที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้อาเซียน
ส่วนมุมมองนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ของจีน นายแจ็ค หม่า ประธานบริหารบริษัทอาลีบาบา กล่าวว่า ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะดำเนินต่อไปเป็นเวลา20 ปี และจะสร้างความเสียหายต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะความตึงเครียดทางการค้า จะส่งผลกระทบต่อบริษัทจีนและบริษัทต่างประเทศ จะทำให้ภาคธุรกิจของจีนย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่นในระยะกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษี
ข่าวเด่น