“ก.ล.ต.” เผยดำเนินคดีทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด “ขจรพงศ์ คำดี - พิสุทธิ์ พิหเคนทร์ง พร้อมพวกรวม 11 คน ฐานความผิดใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น “เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ” สั่งปรับเกือบ 150 ล้าน
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ระบุว่า ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 1.นายขจรพงศ์ คำดี ในฐานะประธานกรรมการบริหารและกรรมการของบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH ได้เข้าพบธนาคารเจ้าหนี้เพื่อขอเลื่อนชำระหนี้เนื่องจาก EARTH กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง
อย่างไรก็ดี การขอเลื่อนชำระหนี้ได้รับการปฏิเสธ จึงคาดการณ์ได้ว่า EARTH จะผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินและหนี้อื่น ๆ ซึ่งนายขจรพงศ์ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ 2.นายพิสุทธิ์ พิหเคนทร์ และ 3. นายพิพรรธ พิหเคนทร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานกรรมการ และกรรมการของ EARTH ตามลำดับ
ต่อมาในช่วงวันที่ 16 พฤษภาคม-7 มิถุนายน 2560 1.นายขจรพงศ์ และ 2.นายพิสุทธิ์ ใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในข้างต้นขายหุ้น EARTH จำนวน 33.34 ล้านหุ้น และ EARTH-W4 จำนวน 72.12 ล้านหน่วย มูลค่า 88.80 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุนอันเกิดการลดลงของราคาหลักทรัพย์จากปัญหาการขาดสภาพคล่องดังกล่าว
โดยขายหุ้นผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคล 4 ราย ในลำดับที่ 8.-11. ได้แก่ 8.นายจิตตเกษม คุณชยางกูร 9.นายเกษมสัณห์ คุณชยางกูร 10.นางลักขณา จันทร์เต็ม และ 11.นางสาวสุภาภรณ์ สายคำ โดยมี 7.นายพัชวัฏ คุณชยางกูร ช่วยเหลือดำเนินธุรกรรมทางการเงินและจัดหาบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลทั้ง 4 รายดังกล่าว
ในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 3.นายพิพรรธ ซึ่งรู้ข้อมูลภายในดังกล่าวได้ยินยอมให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหุ้น EARTH ในบัญชีของตนเอง เพื่อชำระหนี้ในบัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลอื่น จำนวน 2.34 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 5.19 ล้านบาท
ในช่วงวันที่ 22 พฤษภาคม-2 มิถุนายน 2560 4.นางธัญกมล ตริตระการ ขณะเป็นกรรมการของ EARTH รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามบทสันนิษฐานตามกฎหมาย ได้ขายหุ้น EARTH และ EARTH-W4 ออกจนหมดบัญชี จำนวน 7.94 ล้านบาท และ 2.89 ล้านหน่วย ตามลำดับมูลค่ารวม 18.29 ล้านบาท
ในวันที่ 22 และ 31 พฤษภาคม 2560 5.นางธนภร พงศ์ธิติ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายพิสุทธิ์ มีพฤติกรรมการขายหุ้นที่ผิดไปจากปกติวิสัย จากเดิมที่มีลักษณะการถือครองระยะยาว โดยนางธนภรรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามบทสันนิษฐานตามกฎหมาย ได้ขายหุ้น EARTH ออกจนหมดบัญชี จำนวน 13.96 ล้านหุ้น มูลค่า 32.12 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 6.นายพิริยะ พิหเคนทร์ ซึ่งเป็นน้องชายของนายพิสุทธิ์ มีพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นที่ผิดไปจากปกติวิสัย จากเดิมที่มีลักษณะการถือครองระยะยาว โดยนายพิริยะรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามบทสันนิษฐานตามกฎหมาย ได้ขายหุ้น EARTH ออกจนเกือบหมดบัญชี จำนวน 9.2 ล้านหุ้น มูลค่า 19.44 ล้านบาท
การกระทำของบุคคลทั้ง 11 รายข้างต้น ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในและขายหุ้น EARTH ในระหว่างที่ข้อมูลภายในยังไม่ถูกเปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไป เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 243 มาตรา 244 และมาตรา 315 อันมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับบุคคลทั้ง 11 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้
บุคคลลำดับที่ 1.ขจรพงศ์ และ 2.นายพิสุทธิ์ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด เป็นเงินรายละ 42,458,636.59 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามบุคคลทั้งสองเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 4 ปี
บุคคลลำดับที่ 3.นายพิพรรธ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 3,873,870 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ปี
บุคคลลำดับที่ 4.นางธัญกมล กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 13,998,516.61 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 ปี
บุคคลลำดับที่ 5.นางธนภร กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 25,526,154.50 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 3 ปี
บุคคลลำดับที่ 6.นายพิริยะ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 13,123,600 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 ปี
บุคคลลำดับที่ 7.นายพัชวัฏ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง เป็นเงิน 500,000 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 4 ปี
บุคคลลำดับที่ 8-11 นายจิตตเกษม นายเกษมสัณห์ นางลักขณา และนางสาวสุภาภรณ์ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง เป็นเงิน รายละ 500,000 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลารายละ 1 ปี
นอกจากนี้ ผู้กระทำผิดทั้ง 11 ราย ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดให้แก่ ก.ล.ต. จำนวนรายละ 18,900.45 บาท อีกด้วย และการกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษmางแพ่ง
ทั้งนี้ หากผู้กระทำผิดทั้ง 11 รายไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ชำระค่าปรับทางแพ่งตามอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด กำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลาสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดแก่ ก.ล.ต.
สำหรับกรณีที่มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการสร้างหนี้เทียมเพื่อนำ EARTH เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และเรื่องร้องเรียนอื่น ๆ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำของบุคคลใดที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ข่าวเด่น