การเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมทั้งแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช    ต้องถือว่ามีความจำเป็นต่อความมั่นคงด้านพลังงานและต่ออุตสาหกรรมในประเทศ  แม้จะมีเสียงคัดค้านจากคนบางกลุ่ม

โดยพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงเหตุผลความจำเป็นและความชัดเจนในการผลักดันเดินหน้าประมูลสิทธิสำรวจแหล่งปิโตรเลียม  ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามสร้างความเข้าใจมาโดยตลอด  ก็ขอให้ทุกคนเปิดใจและดูให้รอบด้าน   ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่เป็นกังวลก็คือ ถ้ามันทำไม่ได้แล้วทำไม่ทัน   ปริมาณก๊าซ ปริมาณน้ำมันที่ขุดได้ในประเทศก็จะลดลงทันที  ก็จะทำให้พลังงานลดลงและจะมีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม    ดังนั้น ประเด็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ   สิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ  สิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็มุ่งหวังว่าสิทธิประโยชน์ภาครัฐจะต้องได้มากขึ้นและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

นายกรัฐมนตรี  กล่าวด้วยว่า  สิ่งที่กังวลอีกประเด็นในขณะนี้  คือ ให้ติดตามสถานการณ์น้ำมันโลก   ซึ่งปัจจุบันราคาเริ่มปรับขึ้นมาแตะที่ระดับ  80 กว่าเหรียญแล้ว  เพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับที่ผ่านมาที่อยู่ที่   50-60 เหรียญเท่านั้น   ซึ่งรัฐบาลใช้กองทุนพลังงานไปดูแลหลายส่วนแล้ว ถ้าขึ้นมา 80-90 เหรียญ จะทำอย่างไร   ซึ่งตรงนี้ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นกลไกของตลาด เราไม่ได้ใช้น้ำมันในประเทศได้ทั้งหมด  บางส่วนขุดขึ้นมาคุณภาพก็น้อย ก็แปรรูปเป็นอย่างอื่นแล้วส่งไปข้างนอก แต่อันไหนที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ เราก็ใช้ในประเทศของเราเพื่อทดแทนการนำเข้า

ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในสภาพที่คนไทยได้ประโยชน์สูงสุด   แล้วรัฐต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนมากที่สุด

ส่วนการยื่นขอสิทธิ์สำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยทั้งแหล่ง เอราวัณ-บงกช   นายวีระศักดิ์  พึ่งรัศมี  อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า หลังการปิดรับข้อเสนอมีผู้ประกอบการมายื่นคำขอประมูลในฐานะผู้ดำเนินงาน แปลงเอราวัณหรือ G1/61 จำนวน 2 ราย ได้แก่ 1.บริษัท PTTEP Energy Development Company Limited (บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) ร่วมกับ บริษัท MP G2 (Thailand) Limited (บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด)บริษัทในกลุ่มมูบาดาลา 2. บริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd. ร่วมกับ บริษัท Mitsui Oil Exploration Company Ltd. (บริษัท มิตซุยออยล์ เอ็กซ์โปลเรชั่น คัมปานี ลิมิเต็ด)         

แหล่งบงกช หรือแปลง G2/61  จำนวน 2 ราย ได้แก่ 1. บริษัท PTTEP Energy Development Company Limited (บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) 2. บริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd. (บริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ โฮลดิ้ง จำกัด) ร่วมกับ บริษัท Mitsui Oil Exploration Company Ltd. (บริษัท มิตซุยออยล์ เอ็กซ์โปลเรชั่น คัมปานี ลิมิเต็ด)

โดยหลังจากนี้ในวันที่ 26 ก.ย.  คณะอนุกรรมการพิจารณาคำขอจะมีการเปิดซองประมูลที่กำหนดไว้ 4 ซองใน 3 ซองแรกคือ ซองที่ 1 เอกสารด้านคุณสมบัติของผู้ประกอบการปิโตรเลียมตามกฎหมาย ซองที่ 2 เอกสารข้อเสนอด้านหลักการและเงื่อนไขการให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ร่วมลงทุน ซองที่ 3 เอกสารข้อเสนอด้านเทคนิค ซึ่งประกอบด้วยแผนงานช่วงเตรียมการ แผนงานการสำรวจ และ แผนการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม ซึ่งหากผู้ที่ยื่นประมูลครั้งนี้ไม่ผ่านคุณสมบัติใน 3 ซองนี้ก็จะไม่เปิดซองที่ 4 คือเอกสารข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ และสัดส่วนการจ้างพนักงานที่เป็นคนไทย