บล.ไอร่า มองหุ้นไทยเดือนต.ค. ฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้าน 1,798 จุด หลังตลาดสะท้อนปัจจัยเฟดขึ้นดอกเบี้ย และทยอยขึ้นต่อเนื่องในปี 62 บวกปัจจัยบวกเศรษฐกิจในประเทศ การเลือกตั้งเดินหน้าตามแผน 24 ก.พ. 62 แนะจับตาปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และการเลือกตั้งกลางเทอมของสกรัฐในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้อาจจะมีผลต่อคะแนนเสี่ยงของ ทรัมป์ พร้อมแนะกลยุทธ์เก็งกำไรหุ้น กลุ่มสื่อสาร อานิสงส์จากการประมูลคลื่น 900MHz และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อานิสงส์เปิดประมูลโครงการต่างๆ และหุ้นผลงานครึ่งปีหลังโต ชู BR-KTB-SPA-STEC-SVI- TOP
นางจิตรลดา เลขาพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AS เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในเดือนตุลาคม มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น โดยให้กรอบดัชนี 1,736 - 1,766 จุด โดยมีแนวต้านเป้าหมายถัดไปที่บริเวณ 1,798 จุด หลังตลาดส่วนใหญ่สะท้อนประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่คาดต่อเนื่องถึงปี 62 พร้อมคาดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง สามารถรองรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ขณะที่คาดหุ้นกลุ่มพลังงาน ยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่คาดทรงตัวในระดับสูง
อย่างไรก็ตามคาดว่าการปรับขึ้นของดัชนีอาจอยู่ในกรอบจำกัด ภายใต้ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะต่อวงเงินรอบใหม่ อีก 267,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 25% รวมถึงประเด็นทางการเมืองในสหรัฐฯ จากการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพ.ย. ที่อาจมีผลต่อที่นั่งในสภาคองเกรส และอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์
ส่วนประเด็นในประเทศ ที่ส่งผลเชิงบวกต่อดัชนีตลาดหุ้นฝยเดือนนี้ อาธิ การเลือกตั้งที่มีความชัดเจนในวันที่ 24/2/62 ตามลำดับ คาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศ และการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3/2561 โดยกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มแรกทยอยประกาศกลางเดือนต.ค.นี้ หลังจากนั้นเป็นกลุ่ม Real Sector จนถึงกลางเดือน พ.ย.61 รวมถึง Thailand Future Fund มูลค่า 45,000 ล้านบาท แผนขายหน่วยลงทุน 12 – 19 ต.ค. นี้ และซื้อขายในตลาดฯ 31/10/61 เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
ด้านปัจจัยต่างประเทศ ล่าสุด Fund Flow เดือนก.ย. 61 ต่างชาติขายสุทธิ 7,756 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องจากเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งต่างชาติขายสุทธิ สูงถึง 51,859 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายสุทธิ 9 เดือนแรกปี 61 รวม 208,874 ล้านบาท หรือประมาณ 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามคาดเงินลงทุนบางส่วนพักอยู่ในตราสารหนี้ จากยอดซื้อสุทธิของต่างชาติในตลาดพันธบัตร YTD ประมาณ 6,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เข้าสู่ช่วงการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 คาดเริ่มมีแรงเก็งกำไรจากกลุ่มธนาคารที่ทยอยประกาศออกมา
สำหรับปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาสำหรับเดือนตุลาคมนี้ คือ อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น หลังมติ กนง. ล่าสุด 5 ต่อ 2 (เพิ่มจากครั้งก่อนที่มีเพียง 1 เสียง) เห็นด้วยให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจำเป็นลง หลังแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในเป้าหมาย 2.5 ±1.5% (ล่าสุด ส.ค. 61 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.62%) คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วสุดมีโอกาสเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้
รวมถึง นโยบายการเงินสหรัฐฯ เฟดส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงปี62 อย่างไรก็ตามคาด
มีความเสี่ยงจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เฟดพิจารณาเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าความคาดหมาย และสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังสหรัฐฯ ยังมีแผนเรียกเก็บ วงเงินเพิ่มอีก 267,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดโดยรวมสหรัฐฯ เรียกเก็บสินค้าทุกรายการที่นำเข้าจากจีน หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 517,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นประเมินกลยุทธ์การลงทุนในเดือนตุลาคม เก็งกำไรหุ้นเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร อานิสงส์จากการประมูลคลื่น 900 MHz ซึ่งกำหนดยื่นซอง 8 ตุลาคม 61 และกำหนดวันประมูล 20 ตุลาคม 61 หากมีผู้เข้าร่วมประมูลมากกว่า 1 ราย หรือ 3 พฤศจิกายน 61 หากมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 1 ราย หุ้น และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อานิสงส์จากโครงการต่างๆ ที่ทยอยเปิดประมูลช่วง ต.ค. – พ.ย. เช่น ทางด่วนพระราม 3- วงแหวนรอบนอก มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท กำหนดยื่นซอง 12 พฤศจิกายน 61 นอกจากนี้ยังแนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้นที่มีความน่าสนใจจากปัจจัยเฉพาะตัว รวมถึงผลประกอบการคึงปีหลัง 61 มีแนวโน้มดีกว่าครึ่งปีแรก 61 พร้อมกับการเติบโตต่อเนื่องในปี 62 ได้แก่ BR, KTB, SPA, STEC, SVI และ TOP เป็นต้น
ข่าวเด่น