นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รุกพัฒนาการสร้างการลงทุนรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเพื่อรองรับการทำธุรกรรมในยุคดิจิทัล โดยวางแผนในการจัดสรรกองทุนชนิด Electronic หรือ e-class สำหรับกองทุนประเภท Passive ที่เน้นลงทุนให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง โดยกำหนดมูลค่าขั้นต่ำไว้เพียง 1 บาท และสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งสิทธิพิเศษที่นักลงทุนจะได้รับ คือ ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการสั่งซื้อ (Front End Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) นับเป็นการให้บริการรายแรกของประเทศไทย และเพื่อให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้นและสร้างความสนใจในการลงทุน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้บริษัทฯ จะเปิดให้ลงทุน e-class ของกองทุน SCB SET Index (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เซ็ท อินเด็กซ์ ฟันด์) ซึ่งนับเป็นกองทุนดัชนีเพียงกองทุนเดียวที่ลงทุนใน SET Index อีกทั้งนักลงทุนยังสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย เหมาะกับการกระจายการลงทุนและถือครองระยะยาว ผ่านแอปพลิเคชันใหม่ของบริษัทฯ คือ “SCBAM Fund Click ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ผู้ลงทุนสามารถบริหารจัดการเงินลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา เพิ่มความความสะดวกในการทำธุรกรรมผ่านมือถือ ครอบคลุมธุรกรรมทั้งหมดไว้ที่เดียว รวมทั้งเป็นการขยายฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัลของ บลจ.ไทยพาณิชย์เอง
โดยผู้ลงทุนที่เปิดบัญชีกับบลจ.ไทยพาณิชย์ สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นผ่าน App Store ในระบบ IOS และ Play Store ในระบบ Android ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวในพอร์ตการลงทุนของตนเอง ซื้อ-ขาย สับเปลี่ยนกองทุนและสอบถามข้อมูล อาทิ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ยอดคงเหลือหน่วยลงทุน สรุปการทำรายการแต่ละวัน ผลการจัดสรรหน่วยลงทุน และรายละเอียดหนังสือชี้ชวนฉบับสมบูรณ์แต่ละกองทุน
นอกจากนี้แล้วยังต่อยอดนำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ที่บลจ.ไทยพาณิชย์ พัฒนาระบบขึ้นมาเป็นบลจ.แรก เข้ามาใช้ในกระบวนการการตัดสินใจลงทุน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้ว โดยเตรียมที่จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Machine Learning Equity (SCB Global Machine Learning Equity Fund: SCBGML) เพื่อลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 - 26 พฤศจิกายน 2561 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกเพียง 1,000 บาท ซึ่งเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุน
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Global Machine Learning Equity มีนโยบายลงทุนแบบ Active Management ในหน่วยลงทุนหน่วยของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) หรือหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศ โดยมีการคัดกรองจากประเทศที่อยู่ในดัชนี MSCI All Country World ใช้เกณฑ์ด้านสภาพคล่อง น้ำหนัก และจำนวนหลักทรัพย์ของแต่ละประเทศในดัชนี ซึ่งคัดเลือกจาก 47 ประเทศ ให้เหลือ 25 ประเทศที่จะเข้าลงทุน แล้วนำมาวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยนำเทคนิคทาง Machine Learning มาใช้คัดเลือกหน่วยลงทุนในการลงทุนและมีการวิเคราะห์กรอบการลงทุนในประเทศต่างๆ
โดยมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัจจัยการลงทุนตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ราคาพื้นฐาน การเติบโต คุณภาพ มุมมองของนักลงทุน แนวโน้มราคา และค่าความเสี่ยง ความผันผวน ขั้นตอนที่ 2 เนื่องจากแต่ละปัจจัยการลงทุนมีความสำคัญแตกต่างกันตามสภาวะตลาด จึงใช้เทคนิคทาง Machine Learning เพื่อช่วยปรับความสำคัญของแต่ละปัจจัยให้เหมาะสม และขั้นตอนที่ 3 ปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดภายใต้ภาวะความเสี่ยงของตลาด ค่าใช้จ่ายในการเทรด และเกณฑ์ข้อจำกัดของกองทุน
“สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกนั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมุมมองเชิงบวกโดยมองว่าแนวโน้มการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะถัดไปคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมานำโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ภายหลังผลการเลือกตั้งกลางเทอมเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะร่วมมือกับพรรคเดโมแครตในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ในขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับมาคึกคักอีกครั้งภายหลังผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ ส่งผลให้มีเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีนที่เผชิญแรงกดดันมาเป็นระยะเวลานานก็กลับมาน่าสนใจเนื่องจากข่าวร้ายถูกรับรู้ไปมากแล้ว และมูลค่าพื้นฐานเมื่อเทียบกับราคาในปัจจุบันก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจ” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงต้องจับตาความเสี่ยงด้านการเมืองของกลุ่มประเทศยุโรป เช่น แนวโน้มการเจรจา Brexit และการยื่นงบประมาณต่อคณะกรรมาธิการยุโรปของรัฐบาลอิตาลี เป็นต้น ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นยุโรปให้ขยายตัวได้ในระยะถัดไป
ข่าวเด่น