ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 14 พ.ย. 61 ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ย 4 ต่อ 3 เป็นการส่งสัญญาณที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น ที่กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนธ.ค. นี้ หลังจากที่กนง.คงอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องในการประชุม 28 ครั้งที่ผ่านมา

โดย นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 7/2561 ว่า กนง.มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดย 3เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% ต่อปี
ซึ่ง กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้อุปสงค์ต่างประเทศมีสัญญาณชะลอลงบ้าง เพราะการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐและจีนบ้าง การท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีทิศทางเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม
ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัว ทางเศรษฐกิจเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) สำหรับภาวะการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ส่งผลให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลดลง ได้รับการดูแลในระดับหนึ่งด้วยการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนนับจากการประชุมครั้งก่อน เงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับเงินสกุลภูมิภาคจากความกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น สงครามการค้า เบร็กซิท ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้แนวโน้มยังมีความผันผวน จึงเห็นควรให้ติดตาม สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
ส่วนกรรมการ 3 ท่านเห็นว่า ความต่อเนื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนเพียงพอ และภาวะการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และเพื่อเริ่มสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (โพลิซีสเปซ) สำหรับอนาคต โดยหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต มีผลกระทบต่อผู้กู้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นใครถือเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมไม่มากไปไม่น้อยไป
ด้านนายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กนง.คงอัตราดอกเบี้ยตามที่ธนาคารคาดไว้ และคาดว่าการประชุมครั้งที่ 8/2561 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปี กนง.จะมีมติ 7:0 เสียงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ 0.25% เป็น 1.75% แต่อาจจะไม่ได้ปรับขึ้นต่อเนื่อง เพราะต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ ภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าภูมิภาค
และคาดว่า กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปี 2562 อีก 0.25%เป็น 2.00% ด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ คาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรายย่อยและเอสเอ็มอี หรือดอกเบี้ย MRR ขณะที่ดอกเบี้ยรายใหญ่ หรือดอกเบี้ย MLR อาจจะทรง ตัว ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากอาจจะใช้เวลา 3-6 เดือน จึงจะปรับขึ้นตาม เพราะสภาพคล่องยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องเร่งระดมเงินฝาก
ข่าวเด่น