“พีพี ไพร์ม” ลุยปรับกลยุทธ์ส่งเสริมการขายสินค้าอาหาร“สัตว์น้ำ-สัตว์เลี้ยง” เกรดพรีเมี่ยม หวังกระตุ้นยอดขายเพิ่ม พร้อมเดินหน้าเจาะตลาด“เวียดนาม-มาเลเซีย-อินเดีย-จีน” เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้าพอร์ต มั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุ 2,000 ล้าน เนื่องจากรายได้อาหารสัตว์น้ำกุ้ง-ปลา และสัตว์เลี้ยง หนุนยอดขายโตตามเป้า โชว์ศักยภาพสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ลุยขยายการลงทุนในอนาคตได้ต่อ
สำหรับภาพรวมธุรกิจช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ของ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM ผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมี 3 ธุรกิจในเครือ อาทิ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ/สัตว์เลี้ยง, ธุรกิจพลังงานสะอาด ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า Geothermal และพลังงานลม (Wind Energy) ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ทั้งภายในและต่างประเทศนั้น บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยงต่อเนื่อง
นายณสุ จันทร์สม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัท โดยเฉพาะอาหารกุ้ง ในไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมากถึง 46% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2560 เป็นผลจากกลยุทธ์การทำตลาดอาหารกุ้งเกรดพรีเมี่ยม ที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีแผนเจาะตลาดกลุ่มใหม่ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย และจีน โดยมุ่งเน้นไปที่อาหารกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และสร้างพันธมิตรเครือข่ายสายพันธุ์กุ้งที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นสายพันธุ์ที่เป็นผู้นำตลาด
นายณสุ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ตลอดจนสร้างพันธมิตรเครือข่ายการรับซื้อกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำรายได้ให้แก่บริษัท โดยคาดการณ์ในปี 2561 นี้ จะสามารถทำยอดขายอาหารกุ้ง ได้ตามเป้าที่วางไว้ 100% หรือประมาณ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 18,000 ตัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 39%
ขณะที่รายได้จากอาหารปลายังคงทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2560 โดยยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และมีแผนขยายไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น เมียนมาร์ จีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งบริษัทฯ มีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ใน สปป.ลาว ที่เป็น คู่ค้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงทำการตลาดภายในประเทศเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีแผนเจาะตลาดรับซื้อปลาสด และหาพันธมิตรเครือข่ายพันธุ์ปลา รวมทั้งเตรียมผลักดันสินค้าอาหารปลาเกรดพรีเมี่ยม เพื่อเพิ่ม Market Share ให้มากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายอาหารปลาในปีนี้ไว้ที่ระดับ 40,000 ตัน
ในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง (OEM) ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ามีออร์เดอร์จ้างผลิตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยง ในไตรมาส 3 ปี 2561 เพิ่มขึ้น 5.42% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะได้ตามเป้าที่วางไว้ จากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดเชิงรุกของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง ทำให้บริษัทฯ เดินหน้าตอกย้ำอัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท
นายณสุ กล่าวเพิ่มอีกว่า สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน Geothermal ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ขณะนี้ยังคงดำเนินการต่อเนื่องตามแผนการลงทุนเดิมที่วางไว้ ซึ่งได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 15 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดเพิ่ม โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทเป็นสำคัญ
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Wind Energy) ขนาดเล็ก 20 กิโลวัตต์ ใน Hokkaido เเละ Aomori ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันได้มีการดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 7 โครงการ ส่วนที่เหลืออีก 20 โครงการ อยู่ระหว่างทยอยดำเนินการติดตั้ง
“สำหรับการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาคารที่พักอาศัยประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อโครงการ “Nagomi Waterfront Tower” ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองริมแม่น้ำ ใจกลางเมืองดานัง ประเทศเวียดนามนั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2562”
นอกจากนี้ นายณสุ กล่าวอีกว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถชำระหนี้หุ้นกู้สถาบันการเงินได้ตามระยะเวลาที่กำหนดมาโดยตลอด ส่งผลให้มีหุ้นกู้คงเหลือ จำนวน 904.19 ล้านบาท จากยอดหุ้นกู้ทั้งหมด 1,242.81 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ลดลงเหลือ 607.83 ล้านบาท จากยอดเงินกู้เดิม จำนวน 646.68 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่า ลดลงเหลือ 4.51 ล้านบาท จากเดิม 4.92 ล้านบาท
ดังนั้นทำให้ยอดเงินกู้ยืมระยะยาวทั้งหมด ลดลงเหลือ 1,516.53 ล้านบาท จากเดิมที่มีเงินกู้ระยะยาว 1,894.41 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีสภาพคล่อง และมีศักยภาพในการขยายการลงทุนต่อไปในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 3 ปีนี้ สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทมีรายได้รวม 544.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.03 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.04 % และมี EBITDA หรือกำไรก่อนหักภาษี และดอกเบี้ยอยู่ที่ 16.99 ล้านบาท กำไรขั้นต้นลดลง 3%
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย.) มีรายได้รวม 1,520.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.54 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.84% จากการรับรู้รายได้ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ กุ้ง/ปลา และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรับรู้รายได้จากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน Geothermal ที่ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 15 โครงการ
ข่าวเด่น