กลุ่มเจมาร์ท (JMART) ย้ำทุกธุรกิจกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ชูเจเอ็มที (JMT) ดันกำไรให้เติบโตต่อเนื่องในปีนี้ และปีหน้า ขณะที่เจฟินเทคเตรียมกลับมาสร้างกำไรในปี 62 ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายมือถือยังโตได้ต่อหลังเป็นพันธมิตรกับ AIS สร้างความต่อเนื่องของยอดขายได้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ของ เจเอเอส แอสเซ็ท (J) เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจเน้นธุรกิจหลักที่สร้างกำไร หนุนผลงานทำได้ตามเป้าส่วนซิงเกอร์ (SINGER) ฟื้นตัวอย่างชัดเจน
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ไตรมาส 3 ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 98% เนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการขายลดลง รายได้ส่งเสริมการขายลดลง รวมถึงรายได้ค่าเช่าและค่าบริการลดลง สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย งวด 9 เดือนปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 140.1 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 394.1 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกสำหรับแนวโน้มของธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 โดยธุรกิจการจัดจำหน่ายมือถือ ซึ่งเป็นธุรกิจของบริษัทแกน เชื่อว่าในไตรมาส 4 ปี 2561 จะเข้าสู่ช่วงที่ดีที่สุดของปี โดยมีสินค้ามือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และโปรโมชั่นจำหน่ายมือถือในช่วงปลายปีจากแบรนด์ต่างๆ นอกจากนี้ การที่บริษัทได้ทำ Exclusive Partnership กับ AIS ในการจำหน่ายซิมการ์ดและบริการอื่นๆ ของ AIS ในช่องทางการจัดจำหน่ายของเจมาร์ท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจัดจำหน่ายมือถือที่มีโปรโมชั่นส่วนลดค่าเครื่องที่แข่งขันได้ และมีรายได้เพิ่มจากส่วนแบ่งรายได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกับ AIS ในการผลักดันจำนวนลูกค้า SIM Card ให้ได้ตามเป้าหมาย
โดยในปี 2562 JMART จะยิ่งได้รับผลส่งกำไรจากบริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งทิศทางแนวโน้มของผลประกอบการจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ของ JMART จะเร่งพลิกผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทย่อยอื่นๆ ให้เติบโตกลับมาได้ เพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้กับบริษัท JMART ได้ในปีหน้า
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึง ผลประกอบการที่สร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น รายได้รวมประจำไตรมาส 3 ปี 2561 จำนวน 482.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 37.6% กำไรสุทธิ จำนวน 138.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 40% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 28.7% โดยสาเหตุที่บริษัทมีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทมีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ และรวมถึงรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้สินและบริการอื่นมากขึ้น ส่วนผลการดําเนินการของบริษัทฯ และบริษัทย่อย งบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 1,331.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 32.9% กําไรสุทธิ จำนวน 374.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 9 เดือน ปี 2560 ในอัตรา 26.1% คิดเป็นอัตรากําไรสุทธิเท่ากับ 28.1% ซึ่งกำไรรอบ 9 เดือนเกือบเท่ากับกำไรสุทธิทั้งปีของปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าปีนี้น่าจะสร้างผลกำไร New High อย่างต่อเนื่อง
นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J FINTECH) บริษัทย่อยที่ดําเนินธุรกิจทางด้านการปล่อยสินเชื่อ ภายใต้แบรนด์ “J MONEY” เปิดเผยถึง ผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ผ่านมา จากการปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น หรือลูกค้าที่มีรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาท และการจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายการทำธุรกิจไปยังการปล่อยสินเชื่อแฟคตอริ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อที่ดี ทำให้ยังมั่นใจได้ว่าปีหน้า 2562 จะพลิกกลับเป็นกำไรได้
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2561 มีรายได้ค่าเช่าและบริการ 154.9 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 23.2 ล้านบาท โดยในส่วนธุรกิจให้เช่าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อยู่ระหว่างการปรับปรุงทั้งในด้านรายได้และต้นทุน โดยสินทรัพย์อะไรที่ยังไม่อยู่ในธุรกิจหลักจะพิจารณาในการขายออก และพิจารณาการหาผู้ร่วมทุนในโครงการที่มีศักยภาพของบริษัท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะได้เห็นผลตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปี 2561 และไตรมาส 1 ปี 2562 เพื่อสร้างผลประกอบการของบริษัทฯ ให้เติบโตขึ้น ในส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียม Newera อยู่ระหว่างการเปิด Grand Opening วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 นี้ โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะโอนคอนโดมิเนียมให้กับลูกค้าภายในปี 2562
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ซิงเกอร์” ผ่านทางตัวแทนจำหน่ายต่างๆ มากกว่าร้อยละ 80 ของยอดขายเป็นการขายแบบเช่าซื้อ มีผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2561 กำไรสุทธิเท่ากับ 43.40 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1.91 ล้านบาท คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 2,172.25% โดยไตรมาสที่ 3 นี้มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.16 บาท เทียบกับกำไรต่อหุ้นในไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่เท่ากับ 0.01 บาท
รายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2561 เท่ากับ 835.7 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ทั้งหมด 585.4 ล้านบาท คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 42.8% สาเหตุหลักคือการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าหลัก และรายได้จากค่านายหน้าจากการจัดหาสินเชื่อส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมการทำสินเชื่อ ค่าโอนขายสิทธิ์เรียกร้องลูกหนี้รวมทั้งการปรับปรุงรายการในอดีต
ข่าวเด่น