“ไวส์ โลจิสติกส์” มั่นใจ สงครามการค้าโลก ไม่กระทบธุรกิจบริษัท โค้งสุดท้ายการันตีรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 30% ระบุคว้างานลูกค้าจีนรายใหม่มูลค่ารวม 40 ล้าน พร้อมขยายไซส์คลังสินค้ารองรับงานเพิ่ม เตรียมรับรู้รายได้เพิ่มจากบริษัทย่อยในฮ่องกง-จีน เดินหน้าลุยงานขนส่งข้ามพรมแดน เผยกลยุทธ์ขยายบริการโลจิสติกส์ใน-นอกประเทศ โปรโมทงานทุกประเภทร่วมกับบริษัทเครือข่าย แจงโรดแมพ 3 ปี รายได้แตะ 3,300 ล้าน ขึ้นแท่นผู้นำโลจิสติกส์ภูมิภาคเอเชีย
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาสงครามการค้า แต่ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร ประเมินแนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 4 ปี 2561 เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แต่ไวส์ โลจิสติกส์ ในประเทศต่างๆ มีปริมาณการให้บริการกับลูกค้าเพิ่มขึ้น ดังนั้นเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบ 25 ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เซ็นสัญญารับงานจากผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์รายใหม่ของประเทศจีน เพื่อให้บริการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร เป็นระยะเวลา 1 ปี คิดเป็นมูลค่าการให้บริการอยู่ที่ 40 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2561 เป็นต้นไป
“การรับงานลูกค้ารายใหม่ดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทต้องขยายพื้นที่คลังสินค้าแห่งใหม่พื้นที่ 17,600 ตารางเมตร ที่ อ.แหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ลดต้นทุนในการบริหารจัดการ บริษัทจึงได้มีการรวมคลังสินค้าที่มีอยู่เดิม 5,000 ตารางเมตร / 8,000 ตารางเมตร ไว้เป็นแห่งเดียวกัน และยังสามารถมีพื้นที่เหลือสำหรับการให้บริการลูกค้าใหม่ในอนาคต”
นายชูเดช กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายโอนงานโลจิสติกส์จากซัพพลายเออร์เดิมในประเทศจีนให้กับ ไวส์ โลจิสติกส์กวางโจว และเซี่ยงไฮ้ได้มากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 70% ของปริมาณงานทั้งหมดที่เคยใช้บริการจากซัพพลายเออร์เดิม ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเกิดการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ นายชูเดช ย้ำด้วยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในส่วนของการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ งานบริการขนส่งในประเทศ งานด้านการขนส่งข้ามชายแดน (Cross border) ตามเส้นทาง One Belt One Road ของจีน และงานบริหารคลังสินค้าเพิ่ม
“พร้อมขยายฐานลูกค้าในส่วนของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแบบ Door-to-Door ควบคู่กับโปรโมทงานบริการทุกประเภท โดยดำเนินงานร่วมกันกับบริษัทเครือข่าย ทั้ง WICE Logistics (Hong Kong) Ltd. , WICE Logistics (Singapore) Ltd. และบริษัทร่วมทุน EUROASIA TOTAL LOGISTICS CO., LTD. (ETL) เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ร่วมกัน”
ส่วนความคืบหน้าภายหลังการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ETL เพื่อให้บริการขนส่งข้ามพรมแดน (Cross-Border Transport Services) ระหว่างประเทศจีน ฮ่องกง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามเส้นทาง One Belt One Road ของจีนนั้น นายชูเดชกล่าวว่า ปัจจุบันได้รับมอบตู้คอนเทรนเนอร์แบบสั่งทำพิเศษทั้งตู้สำหรับแช่เย็น และตู้แบบแห้งแล้วจำนวน 150 ตู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรองรับงานขนส่งข้ามชายแดนที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น
“ตอนนี้ ไวส์ โลจิสติกส์ เดินหน้าวางแผนงานร่วมกันให้ WICE Logistics (Hong Kong) Ltd. และ WICE Logistics (Singapore) Ltd.ทำงานเชื่อมโยงกับ ETL ให้ขนส่งตามเส้นทางผ่านระหว่างประเทศไทย ไปมาเลเซีย ผ่านเวียดนาม ขึ้นไปจีน และด้านเส้นทางมาเลเซีย ผ่านสิงคโปร์ขึ้นไปจีน ซึ่งเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางการค้าสำคัญที่มีตลาดใหญ่มาก และมีผู้เล่นที่ให้บริการแบบครบวงจรอย่าง WICE ไม่มาก เราจึงมองว่านี่เป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปในตลาดนี้”นายชูเดช กล่าว
นายชูเดช กล่าวย้ำด้วยว่า บริษัทมีแผนหน้าพัฒนาเส้นทางและระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสงครามการค้าจะเป็นตัวแปรสำคัญของการเดินหน้าธุรกิจ ทั้งนี้บริษัทได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ 3 ปี (2562-2564) โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 30% อัตรากำไรสุทธิ 7%
“โดยคาดว่าในปี 2564 บริษัทจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท และก้าวสู่การเป็นผู้นำการให้บริการด้านโลจิสติกส์ในระดับภูมิภาคเอเชีย ที่มีบริการครบวงจรสามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการค้าที่สำคัญ โดยมุ่งเน้นการสร้างโครงข่ายพันธมิตรในธุรกิจขนส่งอย่างต่อเนื่องในอนาคต”
ส่วนภาพรวมธุรกิจด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศนายชูเดช คาดว่ายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้ปัญหาสงครามการค้ายังไม่คลี่คลาย แต่เชื่อว่าการเติบโตทางการค้า-การลงทุน ทั้งในส่วนของภาคการผลิตเดิม การย้ายฐานการผลิต และอีคอมเมิร์ซ จะเข้าสู่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งประเทศไทยยังมีการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economics Corridor)หรือ EEC พัฒนาเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บนพื้นที่ภาคตะวันออกภายในระยะเวลา 5 ปี (2560-2564) ที่คาดว่าจะดึงดูดการลงทุนเข้ามาอีกมากในอนาคต
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตดังกล่าว จะส่งผลให้ความต้องการบริการขนส่งเพื่อนำเข้าและส่งออก ตลอดจนการใช้งานพื้นที่คลังสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ทุกประเภท
โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ WICE แบ่งเป็น Sea Freight 35%, Air Freight 45%, การให้บริการ Logistics 17% และ Cross-Border Services 3%
ข่าวเด่น