นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 148 บริษัท คิดเป็น 94% จากทั้งหมด 157 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกของปี 61 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.61 พบว่า บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 104 บริษัท คิดเป็น 70% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด มียอดขายรวม 126,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ต้นทุนรวม 99,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.82% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.21% มาอยู่ที่ 21.04% อย่างไรก็ดี บจ. ยังคงมีกำไรสุทธิรวม 4,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.66% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเติบโตจากปีก่อนหน้า แม้ว่า บจ.ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนการขายสูงขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม บจ. สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมเติบโตขึ้น 51.66% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มทรัพยากร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันสูง
เมื่อพิจารณาฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 261,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.45% จากสิ้นปี 60 ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.10 เท่า เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่แล้วเล็กน้อย
ในไตรมาส 3/61 บจ. มียอดขายรวม 43,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.01% ต้นทุนรวม 34,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.04% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น ลดลง 1.44% มาอยู่ที่ 20.43% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 185.29% จากไตรมาส 3 ปีก่อนหน้า
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 157 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย.61) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 399.73 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 263,657 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,324 ล้านบาทต่อวัน
ข่าวเด่น