แม้ว่าการบแข่งขันของตลาดเครื่องปรับอากาศทั่วโลกจะมีความรุนแรง เช่นเดียวประเทศไทย แต่เครื่องปรับอากาศไดกิ้นก็สามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับปี2560 ที่ผ่านมา ด้วยการมีผลประกอบการโดยรวมสูงถึง 2.3 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 6.6 แสนล้านบาท โดยรายได้หลักคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 90% มาจากกลุ่มสินค้าเครื่องปรับอากาศ 8% มาจากกลุ่มสินค้าเคมีคอล 2% มาจากกลุ่มสินค้าเครื่องจักรใช้น้ำมันและเครื่องกำเนิดออกซิเจน
สำหรับประเทศไทย เครื่องปรับอากาศไดกิ้นถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเช่นกัน ด้วยการมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 27% และในสิ้นปีบัญชี 2561 ที่จะปิดในเดือน มี.ค.2562 คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 29% เนื่องจากมีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปรับปรุงด้านบริการทั้งก่อนขายและหลังการขาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างตรงจุด
จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ทำให้แม่ทัพใหม่ของไดกิ้นที่อิมพอาร์ตมาจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ออกมาประกาศกร้าวว่าภายในปี 2020 หรือปี 2563 ผลประกอบการในประเทศไทยจะมีมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านเยน หรือประมาณ 14,000 ล้านบาท
ในส่วนของกลยุทธ์ที่เครื่องปรับอากาศได้กิ้นจะนำมาใช้เพิ่มยอดขายในช่วง 2 ปีนับจากนี้ นอกจากจะพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังจะเดินหน้าพัฒนาบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในแบรนด์สินค้า
นายอาคิฮิสะ โยโคยามา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำตลาด (Market Leader) ในตลาดเครื่องปรับอากาศทุกเซ็กเมนท์ และเป็นผู้นำตลาดในด้านการให้บริการเครื่องปรับอาการแบบครบวงจร โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นเป้าหมายหลักสูงสุด ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตบริษัทมีแผนที่ไดกิ้น จะมุ่งเน้นพัฒนาด้าน Solution Business โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนางานบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ เช่นGreen Building, Smart Home Automation และก้าวสู่การเป็น Absolute No. 1 อย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา ไดกิ้น ได้มีการออกสินค้าตัวใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่พักอาศัย และเชิงพาณิชย์ ซึ่งในปีงบประมาณ 2561 ที่จะจบในเดือนมี.ค.2562 นี้ ไดกิ้น คาดการณ์ว่าจะสามารถทำยอดขายได้ที่ 12,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 15% ทำให้ไดกิ้นรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 29%
ปัจจัยที่ทำให้ ได้กิ้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในด้านของยอดขาย เหตุผลหลักมาจากปีที่ผ่านมาผู้บริโภคมีแนวโน้มหันมาใช้เครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์กันมากขึ้น จากเดิมสัดส่วนอินเวอร์เตอร์ในไทยอยู่ที่ 44% (ปี 2560) ในปี 2561 นี้เพิ่มขึ้นเป็นราว 60% แล้ว
นอกจากนี้ ไดกิ้น ยังมีการเปิดตัวเครื่องปรับอากาศน้องใหม่ ไดกิ้น สบายอินเวอร์เตอร์ ซึ่งหลังจากนำสินค้าเข้าทำตลาดลูกค้าก็ให้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากมีจุดเด่นในด้านของนวัตกรรมแผงวงจร Super PCB Pro Technology ที่ทนต่อไฟตก ไฟกระชาก(440V) สามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคมั่นใจที่จะใช้ระบบอินเวอร์เตอร์มากขึ้น และในปี 2562 นี้ ไดกิ้น ยังพัฒนาโครงสร้างคอยล์ร้อนใหม่ให้ป้องกันจิ้งจกและสัตว์เลื้อยคลานไม่ให้เข้าไปสร้างความเสียหายกับแผงวงจร จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้อีกขั้นหนึ่ง
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอินเวอร์เตอร์ R32 ได้กิ้น จึงมีการอารันตีสินค้าเกี่ยวกับเรื่องการประหยัดไฟ ด้วยการชูจุดเด่นฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ที่มีระดับดาวเพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้ ยังจะมีการเพิ่มไลน์อัพสินค้าอินเวอร์เตอร์ให้หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน เน้นกระจายอินเวอร์เตอร์ สู่ช่องทางต่างจังหวัด ด้วยราคาที่ไม่ต่างจากรุ่นธรรมดามากนัก
ในส่วนของเครื่องปรับอากาศรุนใหม่ที่จะเปิดตัวเข้ามาทำตลาดในหน้าขายที่จะถึงนี้ ไดกิ้น จะมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ใช้ภายในบ้านและกลุ่มผู้ออกแบบวิศวกรรมที่ปรึกษา หรือ Consultant Designer และ ดีเวลล็อปเปอร์ ที่มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยนำ ระบบ Mold Proof เพื่อไล่ความชื้น ยับยั้งเชื้อรา และกลิ่นอับภายในเครื่อง
นายโยโคยามา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศทุกรายหันมาผลักดันระบบอินเวอร์เตอร์มากขึ้น ไดกิ้น จึงคาดว่าสัดส่วนมูลค่าตลาดระบบอินเวอร์เตอร์จะเพิ่มจาก 60% ในปี 2561 เป็น 65% ในปี 2562 โดยมีเป้าหมายที่ไดกิ้นยังคงเป็นผู้นำตลาดอินเวอร์เตอร์อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยจากยอดขายที่เติบโตต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นว่าตลาดเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ในเมืองไทยยังคงมีมูลค่าเติบโตขึ้นทุกปี
สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศในปี 2562 ที่จะถึงนี้คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 6% จากปี 2561 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 47,300 ล้านบาท โดย ไดกิ้น มองว่าจะสามารถได้ส่วนแบ่งการตลาด 28% ในปี 2562 ซึ่งจะยังคงทำให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องทำความเย็นทั้งในที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง โดยมาจากปัจจัยบวกต่างๆ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มการลงทุนขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและโครงการอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตได้ดีโดยเฉพาะตลาดทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวที่เติบโตขึ้นมาก
นอกจากนี้ในปี 2562 ไดกิ้น จะยังคงพัฒนาและเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวแทนจำหน่าย โดยมีแผนนโยบายสนับสนุนบริการดีลเลอร์ ให้สามารถดูแลลูกค้าของบริษัทฯ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดต่อผลิตภัณฑ์ และบริการ ซึ่งปัจจุบัน มีร้าน Dealer ได้สมัครมาเป็น Authorized Service Dealer กับ ไดกิ้น จำนวนมาก
จากผลการตอบรับจากดีลเลอร์ที่ดีดังกล่าว ไดกิ้น จึงมีแผนที่จะให้การสนับสนุนด้านการฝึกอบรม ผ่านโครงการช่างแอร์ดีดี พร้อมอบรมให้ความรู้ในผลิตภัณฑ์ เทคนิคการซ่อม มารยาทในการให้บริการ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ร้าน Dealer ต่างๆ ของ ไดกิ้น สามารถให้บริการด้วยมาตรฐานเดียวกัน และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ได้กิ้น จึงได้มีการเปิดตัว Daikin Customer Care Center เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวดเร็ว ฉับไว ซึ่งในอนาคต ไดกิ้น มีแผนที่จะนำโมเดลธุรกิจดังกล่าวขยายการบริการไปยังทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการขยายศูนย์บริการแต่งตั้งไดกิ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนศูนย์เปิดให้บริการอยู่ที่ประมาณ 60 สาขาทั่วประเทศ
ข่าวเด่น