“คิวทีซี เอนเนอร์ยี่”  เปิดแผนปี 62 เดินหน้าปรับกลยุทธ์ ด้านการตลาด รุกให้บริการเสริมทั้งพลังงานทางเลือก  BUSDUCT - SMART TRANSFORMER และ AMORPHOUS TRANSFORMER พร้อมลุยประมูลงาน กฟภ.-กฟน. มูลค่ารวม 3,000 ล้าน มั่นใจคว้างาน เข้าพอร์ตไม่ต่ำกว่า 10% ระบุภาพรวมอุตสาหกรรมหม้อแปลงคึกครึ่งปีหลัง ตามภาวะเศรษฐกิจ

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตจัดจำหน่าย และให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า เปิดเผยถึงแผนการขยายธุรกิจในปี 2562 ว่า บริษัทฯปรับกลยุทธ์ทางการตลาด ในเชิงรุกมากขึ้น รวมถึงการขยายช่องทางการตลาด โดยการเจาะตลาดในช่องทางใหม่ๆ นอกเหนือจากการผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าในปัจจุบัน ล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทฯได้มีการร่วมลงนามสัญญาทางธุรกิจร่วมกับ DYNAMIC ELECTRICAL SDN. BHD. ประเทศมาเลเซีย เพื่อแต่งตั้งบริษัทฯเป็น ตัวแทนจำหน่าย DE BUSDUCT รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ซึ่งจะมีการทำการตลาดในช่วงเดือนมีนาคมนี้

นอกจากนี้ บริษัทฯยังเตรียมทำการตลาดในส่วนของ Smart Transformer  หรือ ระบบอัจฉริยะ ที่ติดตามการทำงานของหม้อแปลง ด้วยระบบ sensor มาเสริมประสิทธิภาพให้กับตัวสินค้าและบริการ ซึ่ง Smart Transformer สามารถติดตามตัวแปรสำคัญของหม้อแปลง เช่น กระแสไฟฟ้าในขดลวด , วัดอุณหภูมิขดลวด, ความร้อน, อุณหภูมิน้ำมัน โดยเฉพาะการเกิด Unbalance ที่อาจจะส่งผลเสียต่อหม้อแปลง โดยส่งต่อข้อมูลตัวแปรผ่านระบบ 3G และ 4G ทำให้ผู้ดูแลรักษาสามารถดูข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ควบคู่ไปกับการทำการตลาดหม้อแปลง AMORPHOUS อย่างต่อเนื่อง

ส่วนการประมูลงานโครงการต่างๆ เช่น กฟภ., กฟน. มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท นั้น ในเบื้องต้นบริษัทฯคาดว่าจะมีโอกาสคว้างานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งมูลค่าดังกล่าวไม่รวมหน่วยงานราชการอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนหลังเลือกตั้งในช่วงครึ่งหลังปี 2562

“ภาพรวมอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าจะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง โดยจะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 และในปี 2563 เนื่องจากเชื่อว่าภาคลงทุนของภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศจะกลับมา ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้หม้อแปลง กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ” นายพูลพิพัฒน์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการงวดปี 2561 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม  973.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  61.48  ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 912.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  6.74 % และมีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 0.12  ล้านบาท ลดลง  99.95 % เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 247.26 ล้านบาท