“บล.โกลเบล็ก”จับตาเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นจีนหลังMSCIเพิ่มน้ำหนักการลงทุน-แนะลงทุนหุ้นเข้าคำนวณ FTSE
บล.โกลเบล็กจับตาต่างชาติแห่ลงทุนตลาดหุ้นจีนหลัง MSCIเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเนื่องจากตลาดหุ้นจีนมีขนาดใหญ่และตลาดยอมรับเงินหยวนเป็นสกุลเงินสำรองของโลกและการทบทวนตัวเลขส่งออกของแบงก์ชาติหากตัวเลขไตรมาสแรกไม่โตตามเป้า พร้อมให้กรอบดัชนี 1,625 -1,665 จุด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่เข้าคำนวณFTSE หุ้นได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งและหุ้นได้อานิสงส์ขยายเวลาฟรีวีซ่า ส่วนราคาทองคำมีแนวโน้มขาขึ้น แกว่งตัวในกรอบ 1,275–1,330 ดอลลาร์ แนะนำพอร์ตระยะสั้นซื้อเก็งกำไร
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัดหรือGBSกล่าวว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจยบวกจากต่างประเทศโดยรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มเลื่อนเวลาการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากเดิมที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. แลกกับจีนปรับลดภาษีนำเข้าและผ่อนคลายกฏระเบียบในการนำเข้าสินค้าเกษตร เคมีภัณฑ์ รถยนต์และสินค้าอื่นๆจากสหรัฐโดยผู้นำของทั้งสองประเทศอาจจะบรรลุข้อตกลงการค้าในการประชุมวันที่ 27 มี.ค.นี้และแบบจำลอง GDP Nowของสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวเพียง0.3%ในไตรมาส 1/2562 ซึ่งเป็นตัวยืนยันสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอย่างชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ภาครัฐในประเทศเองยังมีการทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ20 ปีเน้นการลงทุนจากภายในประเทศและต่างประเทศสอดคล้องกับการสนับสนุนการลงทุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)แผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC)และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน(SEZ)ซึ่งเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว
ส่วนปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นภายในสัปดาห์นี้ อาทิการประกาศของMSCIที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีน 4 เท่าจากปัจจุบัน5% เป็น20% โดยจะปรับเพิ่ม2ครั้งในเดือนพ.ค.และส.ค. 2562 ทำให้น้ำหนักของหุ้นจีนในดัชนีตลาดเกิดใหม่ของMSCIเพิ่มขึ้นสู่3.3% จากราว0.7%ในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเข้าสู่จีนเนื่องจากตลาดหุ้นจีนมีขนาดใหญ่ ขณะที่จีนเองก็มีการปรับตัวและเปิดตลาดการเงินในประเทศมากขึ้นนำไปสู่แนวโน้มที่ตลาดจะยอมรับสกุลเงินหยวนในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกมากขึ้นและปัจจัยในประเทศจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดส่งออกในช่วงไตรมาส1/2562 มีแนวโน้มหดตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการขยายตัวของการส่งออกทั้งปีนี้ที่3.8%
อีกทั้งยังคงต้องจับตาปัจจัยที่น่าสนใจ ดังนี้วันที่ 5 มี.ค. จีน ญี่ปุ่น อียู สหรัฐ เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการเดือนก.พ. สหรัฐ เปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนก.พ.และยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. อียูเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนม.ค. จีนเปิดประชุมสภาจะมีการเปิดรายงานแผนเศรษฐกิจจีนซึ่งจะมีการกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจการขาดดุลงบประมาณและมาตรการกระตุ้นต่างๆ รวมทั้งผ่านกฏหมายว่าด้วยการลงทุนจากต่างชาติฉบับใหม่ วันที่ 6 มี.ค.สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ.ดุลการค้าเดือนธ.ค. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) (เช้าวันที่ 7 มี.ค.) วันที่ 7 มี.ค.ศาลรัฐธรรมนูญ นัดลงมติวินิจฉัยคำร้องยุบพรรคไทยรักษาชาติ ขณะที่จีน เปิดเผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนก.พ. อียู เปิดเผย GDP ไตรมาส 4/2561 (ประมาณการครั้งที่ 3) สหรัฐ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 4/2561 วันที่ 8 มี.ค. ญี่ปุ่น เปิดเผย GDP ไตรมาส 4/2561 จีน เปิดเผยยอดนำเข้า ส่งออกและดุลการค้าเดือนก.พ. สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ. และ 9 มี.ค. จีน เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ.และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)เดือนก.พ.
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวน โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี1,625 -1,665 จุดแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่เข้าคำนวณ FTSE ที่ราคาหุ้นมีผลตอบแทนYTD น้อยกว่าดัชนี ได้แก่ HMPRO และ MTC มีผล 15 มี.ค.นี้และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง เช่น VGI, PLANB, MACO, CPALL, MAKRO, BJC และ TKS รวมทั้งหุ้นได้อานิสงส์ขยายเวลาฟรีค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว เช่น AOT, CENTELและERW
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่าจากแนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าตามกระแสความเชื่อมั่นของนักลงทุนหนุนเงินไหลออกจากกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งตราสารหนี้และโลหะมีค่า แล้วกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นแต่ด้วยการที่แคนาดาตัดสินใจส่งตัวผู้บริหารหัวเว่ยไปดำเนินคดีต่อในสหรัฐฯและการที่นานาประเทศในสหภาพยุโรปไม่ยอมตามแรงต้านของสหรัฐฯที่ต้องการให้คว่ำบาตรเทคโนโลยีของหัวเว่ย ทำให้ภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯที่ดูเหมือนผ่อนคลายลงชั่วคราวอาจปะทุขึ้นมาอีก ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทองคำได้ในระยะถัดไป
สำหรับมุมมองทางเทคนิคราคาทองคำปรับตัวลงหลุดแนวโน้มขาขึ้นแต่มีโอกาสจะรีบาวด์ขึ้นไปเหนือระดับ 1,300 ดอลลาร์อีกครั้ง ซึ่งควรพิจารณาขายออกไปก่อนแม้ในระยะสั้นเงินบาทที่อ่อนค่าได้ช่วยหนุนราคาทองคำในประเทศอยู่ก็ตาม คาดการณ์กรอบสัปดาห์ระหว่าง 1,275–1,330 ดอลลาร์ แนะนำพอร์ตระยะสั้นซื้อเก็งกำไรการรีบาวด์ และขายทันทีเมื่อมีกำไร ส่วนพอร์ตลงทุนควรขายลดการถือครองเพื่อรอจังหวะเก็บคืนอีกครั้งเมื่อราคาอ่อนตัว
ข่าวเด่น