สำหรับผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาทำได้ที่ 1.81% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ชนะ Benchmark ซึ่งอยู่ที่ 0.79% ซึ่งนำโดยพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเนื่องจากตัวเลือกการลงทุนในตลาดหุ้นจีนสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น และหุ้นไทยที่ EASTW และ MTC ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนสัปดาห์นี้แนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุน โดยลดน้ำหนักของพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ลงจาก 25% เหลือ 20% เนื่องจากประเมินว่า อาจเกิดแรงกดดันต่อราคาตราสารหนี้หลังจาก สนช. ผ่านร่างแก้ไข
ขณะที่กฎหมายให้เก็บภาษีจากผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนที่ถือครองโดยกองทุนรวม ทั้งนี้น้ำหนักที่ลดลงให้ไปเพิ่มในส่วนของการลงทุนตราสารทางเลือกอื่นๆ เช่น ELN และ FCN จากเดิม 15% เป็น 20% (แยกเป็น ELN 10% และ FCN 10%)
สำหรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยภาพรวม ยังคงน้ำหนักการลงทุนไว้ที่ 40% ตามเดิม แต่ในเชิงกลยุทธ์เพื่อลดความผันผวน และกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น จึงควรจัดสรรน้ำหนัก 1 ใน 4 ของพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทย เข้ามาหาตัวเลือกในกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ส่วนพอร์ตการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และ Money Market คงน้ำหนักไว้ที่ 15% และ 5% ตามเดิม โดยให้น้ำหนักการลงทุนหลักไปที่ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากพัฒนาการเชิงบวกของการเจรจาสงครามการค้า รวมถึงการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของ MSCI ในตลาดหุ้นจีน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นร้อนแรงกว่า 2.27% จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ และจีนออกมาดีเกินคาด ขณะที่ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากปัจจัยทางการเมือง ทำให้เพิ่มขึ้นเพียง 0.61% ส่วนพอร์ตการลงทุนความเสี่ยงปานกลาง ทำผลตอบแทนได้ดีมาก สูงถึง 1.82% ชนะ Benchmark 0.79% เนื่องจากเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นจีน อย่าง SCBCHA ให้ผลตอบแทนสูงถึง 9.35% รวมถึงหุ้นไทยที่เน้นกลยุทธ์ Selective Buy ให้ผลตอบแทนได้ดีมาก เช่น MTC, TFG และ EASTW เป็นต้น
ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่วัฎจักรขาลงอีกครั้ง, ส่วนต่าง Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ-ไทย ที่ติดลบ, Market Earning Yield ของตลาหุ้นไทยปัจจุบันที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมาก สภาพแวดล้อมดังกล่าว ล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการที่ Fund Flow จะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย แต่ในข้อเท็จจริงยังไม่เห็นการไหลกลับเข้ามา
ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่า น่าจะเป็นเพราะความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เห็นความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลหลังผ่านการเลือกตั้งมาถึง 2 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังดูเหมือนเกิดกระแสความร้อนแรงทางการเมืองเพิ่มสูงขึ้น สำหรับพัฒนาการของเหตุการณ์ทางการเมืองในสัปดาห์นี้ ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอยู่ในกระแส น่าจะมี 3 ส่วนได้แก่ การหาข้อยุติในเรื่องสูตรการคำนวน ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ถัดมาเป็นเรื่องการพิจารณาข้อร้องเรียนจากการเลือกตั้ง โดยอาจมีการประกาศให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ตลอดจนการให้ใบเหลือ ใบส้ม อันเนื่องมาจากการทุจริตการเลือกตั้ง และส่วนที่ 3 เป็นเรื่องกระแสความร้อนแรงทางการเมืองทั้วไปที่ดูเหมือนจะมีออกมามากขึ้น
สำหรับปัจจัยในต่างประเทศในสัปดาห์นี้ยังอยู่ในเรื่องสงครามการค้า และ Brexit คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1630-1660 จุด ช่วงวันหยุดยาว 2 ช่วง ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน และดูเหมือนจะเพิ่มความร้อนแรงในเชิงของกระแสน่าจะทำให้ SET Index ยังเคลื่อนไหวภายใต้ Upside ที่จำกัด ตัวเลือการลงทุนจึงให้ความสำคัญกับหุ้นที่มี Downside ต่ำและให้ Dividend Yield เหมาะสม
ดังนั้นสัปดาห์นี้ แนะนำเลือกลงทุน EASTW (FV@B 13.50) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความผันผวนต่ำให้ Dividend Yield 4.1% ต่อปีและมีประเด็นหนุนเรื่องความต้องการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน และหากประเมินภาพในระยะยาว เชื่อว่า ความต้องการน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปตามพัฒนาการของการลงทุนในพื้นที่ EEC ส่วนอีกบริษัทหนึ่งเลือก PTTGC (FV@B 79) พบว่าใ นช่วงจากต้นปี 2562 จนถึงปัจจุบัน เป็นหุ้นที่ถูก Short Sell สูงที่สุด โดยมีมูลค่ามากกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ผลดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันให้ Dividend Yield 5.8% ต่อปีมี Upside จาก Fair Value 15% ขณะที่คาดหมายว่าผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2562 จะมีความโดดเด่น
สำหรับภาพรวมพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทย ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักลงทุนไว้ที่ 40% ตามเดิม ส่วนตัวเลือกอื่นในสัปดาห์นี้ มีการเปลี่ยนแปลง โดยปรับหุ้น BJC และSCCC ออกจากพอร์ต และนำหุ้น CK, TFG และ PTTGC เพิ่มเข้าไปแทน
ข่าวเด่น