ดัชนีหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ก็เป็นการปรับขึ้นภายใต้ปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง โดยการเรียงตัวของเส้นค่าเฉลี่ยทำได้ดี ในสัปดาห์นี้จึงมีโอกาสปรับขึ้นต่อแต่เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ไทยหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ถึง4 วัน ซึ่งจะกลับมาซื้อขายหุ้นกันอีกครั้งในวันพุธที่ 17 เมษายน
ดังนั้นในระหว่างช่วงวันหยุดยาวของไทย หากต่างประเทศไม่มีปัจจัยลบใดๆมากระทบก็มีโอกาสที่การเปิดเทรดวันแรกในสัปดาห์นี้ (17เม.ย.)ดัชนีหุ้นไทยจะต้องปรับขึ้นต่อ แต่จะยังคงขาดปริมาณการซื้อขาย เนื่องจากนักลงทุนยังรอคอยผลการจัดตั้งรัฐบาลว่ากลุ่มพรรคการเมืองไหนที่จะจัดตั้งได้และจัดตั้งได้แล้วจะมีเสียงมากพอที่จะมีเสถียรภาพในการบริหารในระยะยาวหรือไม่
“คาดกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นในสัปดาห์นี้จะอยู่ระหว่าง 1,654-1,675 จุด”
สำหรับกลุ่มหุ้นที่โดเด่นและแนะนำในสัปดาห์นี้ ได้แก่ORI ซึ่งมีแนวรับ 7.60, 7.35 บาท ส่วนแนวต้าน 8.10, 8.75 บาท โดยราคา Sidewayมานานก่อนที่จะพุ่งขึ้นพร้อมปริมาณการซื้อขายที่สนับสนุน โดยเหลือแนวต้านสุดท้ายบริเวณ 8.10-8.15 บาท
ดังนั้นจึงแนะนำให้สะสมหากราคาหุ้นย่อลงมาใกล้บริเวณ 7.60-7.65 บาท โดยเป้าหมายสั้นๆอยู่ที่ 8.00-8.10 บาท แต่หากทะลุเหนือ 8.15 บาทขึ้นไปได้ แนะนำซื้อคืน หรือซื้อเพิ่มเป้าหมายถัดไปจะอยู่ 8.50-8.75 บาท แต่หากหลุดต่ำกว่า 7.60 บาทให้ลดจำนวนที่ถือหรือตัดขาดทุนออกไปก่อน
ส่วน BEM มีแนวรับ 9.90 บาท และแนวต้าน 10.20, 10.70 บาท BEM ถือเป็นหุ้นที่กำลังสร้างฐานเพื่อเล่นขึ้นรอบใหม่ ราคาแกว่งในกรอบ 9.90-10.20 บาท หากทะลุเหนือแนวต้าน 10.20 บาท ราคามีโอกาสขยับสูงเพื่อที่จะขึ้นไปถึงแตะ 10.70 บาทหรือมากกว่า โดยมีเป้าหมายถัดไปบริเวณ 11.40 บาท ทำรูปแบบถ้วยชาม รูปแบบกราฟอย่างนี้ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูงและอดทนถือรอได้
โดยอัตราความเสี่ยงเทียบผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ หากขาดทุนจะขาดทุนเพียง 0.30-0.35 บาทต่อหุ้น แต่หากถึงเป้าหมายมีโอกาสได้กำไรถึง 0.50-1.20 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ PRM มีแนวรับ 6.90,6.60 บาท และแนวต้าน 7.20 , 7.80 บาท โดยราคาแกว่งตัว Sideway Up โดยขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่เคยเป็นแนวรับเดิมที่ 6.95 บาท แต่มีโอกาสสูงที่จะเปิดเหนือแนวต้านดังกล่าวได้
จึงแนะนำซื้อเก็งกำไรโดยมองเป้า 7.20 บาท และหากทะลุเหนือขึ้นไปได้ ให้ซื้อคืนหรือซื้อเพิ่ม เป้าหมายถัดไป 7.80 บาท หรือใกล้เคียง แต่หากหลุดต่ำกว่า 6.90 บาท ให้ลดจำนวนที่ถือและหากหลุดต่ำกว่า 6.60 บาท ถือว่าเสียทรงขาขึ้นให้ตัดขาดทุนและไปรอรอบใหม่อีกครั้ง
สำหรับด้านตลาดทองคำ โดยภาวะตลาดทองคำสัปดาห์ที่ผ่าน เมื่อเวลา 15.00 น วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562 โดยราคาทองคำล่าสุดอยู่ที่ 1,292.54 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่บริเวณ 1,291.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เท่ากับเปลี่ยนแปลงปรับขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.24 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ตลอดสัปดาห์แกว่งตัวค่อนข้างแคบเพราะยังขาดปัจจัยใหม่กระทบราคาทองคำ
นอกจากนี้ราคาทองคำโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวนอยู่ระหว่าง 1,289.70-1,310.57 เหรียญต่อออนซ์ โดยเริ่มต้นสัปดาห์ราคาทองคำโลกค่อยๆปรับขึ้น ซึ่งมีการเปิดรายงานการประชุม FOMC ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยรายงานระบุว่าเฟดจะใช้ความอดทนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มมีความเป็นไปได้ที่กรรมการเฟดส่วนใหญ่อาจจะไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทำให้ราคาทองคำค่อยๆปรับขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์
สำหรับประเด็น Brexit ก็คลายความกังวลมากขึ้นหลัง EU ขยายเวลาออกไปจนสิ้นเดือนตุลาคมปีนี้
อย่างไรก็ตามราคาทองคำเริ่มปรับลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี โดยเฉพาะตลาดแรงงาน อย่างจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานนั้นออกมาลดลงอีก 8,000 ตำแหน่ง เหลือ 196,000 ตำแหน่ง ต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปีทีเดียว
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมา แข็งค่าเล็กน้อยประมาณ 0.075 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งล่าสุดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 31.805 บาทต่อดอลลาร์ จากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 31.880 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างสัปดาห์อยู่ที่ 31.730-31.980
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะสั้น ราคาขึ้นไปถึงแนวต้านที่ให้ทำกำไรแล้วบริเวณ 1,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหลังถึงเป้าราคาร่วงลงมาอีกครั้ง จนได้ซื้อคืนบริเวณ 1,295 ดอลลาร์ต่อออนซ์แล้ว แนวรับสำคัญจะอยู่บริเวณ 1,282 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งราคาสัปดาห์ที่ผ่านมาย่อลงมาต่ำสุดเพียง 1,289 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากปิดต่ำกว่าแนวรับ 1,282 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดังกล่าวควรตัดขาดทุนออกไปก่อน ซึ่งแนวรับถัดไปจะอยู่ 1,260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไว้รอซื้อกลับบริเวณนั้นอีกทีถ้าหลุดแนวรับแรก เป้าหมายทำกำไรอยู่บริเวณ 1,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เช่นเดิม
สำหรับนักลงทุนระยะยาวยังมองเป้าหมายในปีนี้ 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือใกล้เคียง จากที่เคยสะสมซื้อมาบริเวณต่ำกว่า 1,220 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำสะสมเพิ่มหากย่อมาต่ำกว่า 1,260 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวเด่น