โบรกเกอร์ประเมินหุ้นไทยส่งสัญญาณแกว่งตัวกรอบแคบๆเหตุการจัดตั้งรัฐบาลไร้ความชัดเจน พร้อมคาดการผลประกอบการกลุ่มแบงก์ไตรมาสแรกปีนี้ ส่อแววหดตัว 2.27% แนะฉวยจังหวะลงทุนหุ้นพื้นฐานโดดเด่น ชี้ 10 หุ้นเด่นน่าลงทุน “BGRIM-SSP-AOT-ERW-AMATA-WHA-BEM-EKH-BCH-BDMS”
สำหรับดัชนีหุ้นไทยช่วงสัปดาห์นี้มีช่วงการซื้อขายเพียงกี่ไม่วัน อีกทั้งดัชนีหุ้นยังคงแกว่งตัวตามกรอบสัญญาณทางเทคนิคแคบๆ เนื่องจากยังมีปัจจัยลบจากเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยเฉพาะหากเกิดสัดส่วนจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้านใกลเคียงกัน
อีกทั้งBloomberg Consensusคาดกำไรหุ้นกลุ่มแบงก์ช่วงไตรมาสแรกปีนี้หดตัว 2.27% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น Leading Indicator ของ Real Sector ท่ามกลางความผันผวนจากดัชนีมีโอกาสย่อตัวเข้าหาฐานแนวรับ 1,640 จุด
ดังนั้นฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ประเมินว่าเป็นจังหวะโอกาสเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแรง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น เราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสดและมีลักษณะคล้าย Fixed Income ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก โดยแนะนำ หุ้นBGRIM เนื่องจากบริษัทตั้งเป้ารายได้โต 15-20% YoY หลังรับรู้รายได้โครงการ ABPR3 ,ABPR4 และ ABPR5 กำลังผลิตไฟรวม 399 MW เต็มปี บวกกับมีโครงการใหญ่ที่จะ COD ในปีนี้ ทั้งโครงการSolar DTE1&2 กำลังผลิต420MW และโครงการ Phu Yen TTP อีก 257MW ซึ่งบริษัทคาดเริ่ม COD ในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนหุ้น SSPมองว่าในปีนี้บริษัทตั้งเป้า COD เพิ่ม65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16MW และ โซลาฟาร์ม เวียดนาม 49.6 MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1 MW
ขณะเดียวกันยังแนะนำกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากได้อานิสงส์บวก จากการท่องเที่ยวในประเทศที่คึกคัก แนะนำ หุ้นAOT เพราะจากช่วงสงกรานต์มีแนวโน้มผู้โดยสารโตเมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งในช่วง ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา จำนวนเที่ยวบินโต 5.59% เมื่อเทียบกับปีก่อนและจำนวนผู้โดยสารโต3.47%เมื่อเทียบกับปีก่อน
ส่วนหุ้น ERW มองเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่งให้ปีนี้ แบ่งเป็นโรงแรม Hop Inn 7 แห่ง 573 ห้อง และโรงแรมขนาดกลาง 2 แห่ง จำนวนห้องรวม 501 ห้อง อีกทั้งตั้งเป้า RevPar ไม่รวม Hop Inn โต 3-5% เมื่อเทียบกับปีก่อน และOccupancy Rate ที่ 80% ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง
กลุ่มนิคมและโลจิสติกส์ กลุ่มนิคม อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่น โดยแนะนำ หุ้นAMATA มองว่า ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,274 ไร่ , พื้นที่รอการพัฒนาอีกราว 8,837 ไร่ และที่ดินสำหรับ Commercial Area รวม 1,227ไร่ โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ไว้ที่ 1,005 ไร่จากปี ก่อนที่มียอดขายรวม 863ไร่
ส่วนหุ้น WHA คาดได้แรงหนุนจากธุรกิจนิคมและโลจิสติกส์ที่เติบโตดี โดยบริษัทตั้งเป้าขายที่ดินใหม่ 1,600 ไร่ จากปี ก่อนมียอดขาย 1,232 ไร่ หลังล่าสุดเปิดตัวนิคมแห่งใหม่ พื้นที่ 2,000ไร่ ซึ่งมีลูกค้าจีน เตรียมเซ็นสัญญาซื้อแล้วราว 285 ไร่ พร้อมปรับราคาขายและค่าเช่าที่ดินในเขต EEC ขึ้นอีก 10%
นอกจากนี้กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ยังได้อานิสงส์บวกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แนะนำหุ้นBEM โดยตั้งเป้าปีนี้ ธุรกิจรถไฟฟ้ามีจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 5-7%เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งปีก่อนมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3.1 แสนเที่ยวคนต่อวัน ทั้งนี้ตั้งเป้าปี 2564 จำนวนผู้โดยสาร จะแตะ 5-5.5 แสนเที่ยวคนต่อวัน จากการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ก.ย.ปีนี้ และช่วงเตาปูน-ท่าพระ มี.ค.2563 ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนปีนี้ ตั้งเป้าเติบโต 1-2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยใกล้เคียงปีก่อนที่เติบโต 1.3%
ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่น่าสนใจยามตลาดผันผวน จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง
โดยฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้นที่ยังมีUpside ได้แก่ หุ้น EKH เพราะ ปีนี้ตั้งเป้ารายได้โตหนุนด้วยการเปิดให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) พระราม 9 สามารถให้บริการได้เต็มปี ทำให้สามารถรองรับคนไข้เข้ามาใช้บริการได้เพิ่มขึ้นจาก 300 ราย/ปี จากเดิมที่ 200 ราย/ปี
นอกจากนี้เตรียมเปิดอาคารกุมารเวชแห่งใหม่ ในช่วงต้นปีนี้ซึ่งจะมีจำนวนห้องและเตียงเพิ่มขึ้นอีก 53 เตียงจากเดิมที่มี 86 เตียง หุ้นBCH ได้รับแรงหนุนจากการปรับปรุงโรงพยาบาลในเครือ และการเพิ่มศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิ พร้อมกับแนวโน้มสดใสของ WMC และ IVF
และหุ้น BDMS ที่มีการคาดกำไรปีนี้โต YoY จากแผนยกระดับการให้บริการที่เน้นกลุ่มโรคซับซ้อนมากขึ้น และพัฒนาการของโครงการ Wellness Clinic รวมทั้งคาดมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น RAM ซึ่งคาดจะบันทึกในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ (4.6 ล้านหุ้น ที่ราคา 2,800 บาท/หุ้น) ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำมาชำระหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน
ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลัก คือ การเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีหุ้นยังมีโอกาสผันผวนตามทิศทางกำไรของหุ้นที่จะประกาศออกมา โดยตลาดคาดว่ากำไรช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จะหดตัว 4.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งนักลงทุนรอการประกาศตัวเลข เศรษฐกิจของจีนโดยตลาดคาดว่า GDP ของจีนจะอยู่ที่ระดับ 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เติบโตต่ำสุดในรอบ 27 ปี
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมีตลาดมีความชัดเจนจากการที่ EU เห็นชอบขยายเวลา Brexit ออกไปจากวันที่ 12 เม.ย. เป็นวันที่ 31 ต.ค.โดยเป็นการขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือนและรายงานการประชุม FED ยังคงไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้แต่หาก เศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เช่นกัน
ข่าวเด่น