หุ้นทอง
"ตลาดหุ้นไทย"ติดอันดับตลาดหุ้นมีบริษัทเข้ามาระดมทุนสูงที่สุดของโลก


PwCเผยตลาดหุ้นไทยติดอันดับตลาดหุ้นที่จะมีบริษัทเข้ามาระดมทุนสูงที่สุดของโลก ร่วมสะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมพบตลาดหุ้น“นิวยอร์ก-แนสแด็ก-ลอนดอน-ฮ่องกง”จะได้รับความสนใจการลงทุนจากนักลงทุนมากที่สุดในปี 2573 พร้อมระบุการลงทุนหุ้นนอกตลาด กำลังเป็นตัวเลือกการระดมทุนที่ได้รับความสนใจจากบริษัทหลายแห่ง


รายงานCapital Markets in 2030ที่ทำการสำรวจโดย The Economist Intelligence Unit ในนามของ PwC คาดตลาดหลักทรัพย์ในโลกที่นักลงทุนสนใจพิจารณาลงทุนมากที่สุดในปี 2573 นอกเหนือจากตลาดหลักทรัพย์ในประเทศของตนเองได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) ที่ 37% ตามมาด้วยตลาดหุ้นแนสแด็ก (National Association of Securities Dealers Automated Quotations: NASDAQ) ที่ 26% ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange: LSE) ที่ 24%และตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX)ที่24%เท่ากัน

ทั้งนี้รายงานฉบับนี้ทำการสำรวจผู้บริหารจำนวนเกือบ 400 รายทั่วโลกเกี่ยวกับมุมมองต่อปัจจัยที่สะท้อนถึงการพัฒนาตลาดทุนทั่วโลกต่อเนื่องจากรายงานที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2554 โดยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากคราวก่อนที่ผู้ถูกสำรวจคาดว่าตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange: SSE)จะเป็นแชมป์ตลาดหุ้นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในปี 2568 ตามมาด้วย ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ตลาดหลักทรัพย์อินเดีย และ ตลาดหลักทรัพย์บราซิล (Sao Paulo Stock Exchange: Bovespa)

นายบุญเลิศ กมลชนกกุล หัวหน้าสายงานClients and Markets และหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี ด้านธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่าในส่วนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นแหล่งระดมทุนที่บริษัททั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ให้ความสนใจ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้ธุรกิจ

ซึ่งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2552-2561) มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) จำนวน 305 บริษัท มีมูลค่าระดมทุนถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 7.7 แสนล้านบาท

“สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างที่เราพบจากผลสำรวจ คือ การที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยติด 1 ในตลาดชั้นนำที่ถูกคาดการณ์ว่า จะมีบริษัทเข้ามาระดมทุนมากที่สุดในโลกในปี 2573 เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่าง ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และ ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย โดยผมมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจไม่แพ้ตลาดอื่นๆ เพราะเป็นแหล่งเงินทุนที่ให้ต้นทุนทางการเงินที่ถูก สภาพคล่องในการซื้อขายถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยมีความรู้ทางการเงินเพิ่มขึ้นและหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นกว่าในอดีต และกฎระเบียบต่างๆ ของหน่วยงานกำกับดูแล ก็ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลักทรัพย์ที่เข้ามาจดทะเบียนนั้นมีคุณภาพมากขึ้น”

นายบุญเลิศ เชื่อว่า ในระยะยาวตลาดหุ้นไทยจะยิ่งดึงดูดการลงทุนของบริษัททั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ แผนการสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประทเศไทยก็น่าจะช่วยเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ดิจิทัลและสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยโดยรวมได้มากขึ้นด้วย

นายรอส ฮันเตอร์ หัวหน้าศูนย์ไอพีโอ ทั่วโลกของPwC สหราชอาณาจักร กล่าวว่า มุมมองต่อกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่ดูจะเป็นบวกมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ได้ถูกกดดันโดยปัจจัยทางการเมืองและปัจจัยแวดล้อมสภาพตลาด ทำให้ตอนนี้ความคาดหวังของการแข่งขันระหว่างตลาดหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ถือว่า ใกล้เคียงสูสีกันมาก

หากพิจารณาจำนวนของบริษัทที่ต้องการระดมทุนในตลาดหลักทรัย์ ผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) พบว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน (55%) เป็นประเทศที่ถูกคาดการณ์ว่า จะมีผู้ทำการระดมทุนมากที่สุดในปี 2573 ตามด้วย อินเดีย (45%) สหรัฐอเมริกา (41%) บราซิล (21%) และ สหราชอาณาจักร (18%)

แม้จะมีปัจจัยความกังวลเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ เบร็กซิท ก็ตาม โดยทั้งจีนและอินเดีย ยังเป็น 2 ประเทศผู้นำในการจัดอันดับประเภทนี้

“จากผลสำรวจคราวก่อน รายงานชี้ว่าทั้ง 2ประเทศได้มีการหามาตรการและขั้นตอนในการพัฒนาตลาดทุนของตัวเองมาโดยตลอด เห็นได้จากโครงการและความคิดริเริ่มในด้านต่างๆจำนวนมากโดยเฉพาะจีน”

นอกจากนี้สภาพคล่อง(Liquidity)ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกสำหรับนักลงทุนในการเลือกแหล่งที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เพื่อทำการเข้าจดทะเบียน โดยผู้ถูกสำรวจถึง 49% เห็นตรงกันในจุดนี้และปัจจัยเรื่องของการประเมินมูลค่า (Valuations)และต้นทุนในการจดทะเบียน (Cost of listing)ก็มีผลต่อการตัดสินใจระดมทุนของบริษัทที่ 32% และ 29% ตามลำดับ

ทั้งนี้ PwC คาดว่าเทคโนโลยีจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่ออนาคตของบริษัทมหาชน โดยปัจจุบันศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำหลายแห่งของโลก ได้มีการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดการระดมทุนจากบริษัททางด้านเทคโนโลยีและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งต่อไปคาดว่าการแข่งขันจะยิ่งทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และ ตลาดหลักทรัพย์จีน (รวมจีนแผ่นดินใหญ่ และ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง)

ขณะเดียวกันผลสำรวจยังชี้ด้วยว่าตัวเลือกในการระดมทุนของบริษัทได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย 76% ของผู้ถูกสำรวจเชื่อว่า ในปัจจุบันมีตัวเลือกในการระดมทุนมากกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนในตลาด หรือนอกตลาด ทั้งในส่วนของตลาดที่พัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่

แม้ว่า 70% ของผู้ถูกสำรวจเชื่อว่า การระดมทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นแหล่งระดมทุนที่มีความสำคัญลดน้อยลง แต่ผู้ถูกสำรวจในสัดส่วนเท่ากันก็คิดว่า การระดมทุนในตลาดหุ้นจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่ต้องการประสบความสำเร็จ นอกจากนี้

55% ของผู้ถูกสำรวจ ยังมองว่า ไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity) หรือการลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Private company) เป็นตัวเลือกของการระดมทุนนอกตลาดที่มีความน่าดึงดูดมากที่สุด

นาย รอส กล่าวว่า ไพรเวทอิควิตี้ เข้ามามีอิทธิพลต่อตลาดทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยส่งผลให้ไอพีโอในระยะหลังมีจำนวนน้อยลง แต่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจใหม่

ด้วยเหตุนี้หลายบริษัทจึงได้มีการพิจารณาให้การลงทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือการลงทุนนอกตลาด เป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญควบคู่ไปกับตลาดหุ้นมากขึ้น แทนที่จะเห็นเป็นคู่แข่งกัน

“ตลาดหุ้นที่มีความน่าเชื่อถือ จะยังคงเป็นตัวเลือกในการเข้าไปจดทะเบียนของบริษัทโดยทั่วไป ขณะที่ตัวเลือกในการระดมทุนนอกตลาด จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนให้แก่นักลงทุนในยามที่ต้องการได้”

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 เม.ย. 2562 เวลา : 22:12:42
27-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2024, 9:38 pm