กูรูทิสโก้ชี้หุ้นไทยเตรียมรับข่าวบวก 2 เรื่อง ทั้ง MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักดันเงินต่างชาติจ่อไหลเข้า 7.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่การเมืองในประเทศชัดเจนขึ้น หนุนดัชนีแตะ 1,680-1,700 จุดได้ในช่วงเดือนมิถุนายน
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า บล.ทิสโก้ประเมินว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคมดัชนีหุ้นไทยจะผันผวนตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่คาดว่าจะเห็นปรับฐานหลังดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นต่อเนื่องตลอด 4 เดือนนับจากต้นปี ประกอบกับประธานาธิบดีทรัมป์จุดประเด็นเรื่องสงครามการค้าขึ้นมาอีกครั้ง
สำหรับแนวรับและแนวต้านสำคัญเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน คาดว่าในช่วงแรกดัชนีหุ้นไทยจะปรับลงมาที่แนวรับ 1,630 - 1,650 จุด ก่อนแกว่งขึ้นในเดือนมิถุนายนมาอยู่ที่แนวต้าน 1,680 - 1,700 จุด จากปัจจัยบวก 2 ประการคือ การเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI จาก 2.3% เป็น 2.5% ประเมินว่าจะส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามานับตั้งแต่วันประกาศผลการทบทวนดัชนีในวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 ประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท ปัจจัยต่อมาคือ การเมืองไทยเริ่มชัดเจนและคาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2562 ดังนั้น การลงทุนในเดือนพฤษภาคม บล.ทิสโก้แนะนำให้นักลงทุนถือเงินสด 20% และลงทุนในหุ้น 80% ของเงินลงทุนทั้งหมด
“หุ้นไทยในช่วงสองเดือนต่อจากนี้มีข่าวดีถึงสองเด้ง ประเด็นแรกจากสถานการณ์การเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลที่จะชัดเจนขึ้นอย่างมากในเดือนมิถุนายน เพราะจะทราบแล้วว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ประเด็นต่อมาคือการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI ซึ่งในครั้งนี้คาดว่าหุ้นที่จะได้รับการเพิ่มน้ำหนักเป็นอันดับต้นๆ คือ SCC, BDMS, CPN, CPALL, BLL-F, KBANK, LH, PTT, BANPU และ EGCO โดยเงินต่างชาติจะเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม จากแรงซื้อของกองทุนประเภท Active Fund เป็นหลัก อีกทั้งในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเงินทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิทุกตลาดในภูมิภาคเอเชียยกเว้นตลาดหุ้นไทย เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่หลังจากการเมืองไทยเริ่มชัดเจนแล้วจึงเป็นไปได้สูงว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง” นายวิวัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากหุ้นไทยจะน่าสนใจแล้ว หุ้นจีนโดยเฉพาะตลาด A-Shares เป็นอีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงนี้ เพราะจะได้รับอานิสงส์บวกจากการเพิ่มน้ำหนักของ MSCI มากที่สุด และคาดว่าในปี 2562 ตลาดหุ้นจีน A-Shares จะปรับขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2561 ได้อีกครั้ง แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่เชื่อว่ามาตรการกำแพงภาษีจะถูกยกเลิกในที่สุด เนื่องจากไม่มีฝ่ายใดได้รับประโยชน์ สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นจีนสามารถลงทุนได้ผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจีน A-Shares เพื่อรับประโยชน์จากปัจจัยบวกดังกล่าว
โดยหุ้นแนะนำในเดือนพฤษภาคมเกี่ยวข้องกับ 2 ธีมลงทุนสำคัญ คือ หุ้นที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าจากการทบทวนดัชนีของ MSCI และหุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่รองรับกระแสเงินทุนต่างประเทศที่คาดว่าจะไหลเข้า ดังนี้ SCC ราคาเป้าหมาย 490 บาท ราคาตัดขาดทุน 450 บาท, BDMS ราคาเป้าหมาย 28 บาท ราคาตัดขาดทุน 24 บาท, LH ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท ราคาตัดขาดทุน 10.2 บาท, CPN ราคาเป้าหมาย 83 บาท ราคาตัดขาดทุน 72 บาท, STEC ราคาเป้าหมาย 27 บาท ราคาตัดขาดทุน 24 บาท และ TASCO ราคาเป้าหมาย 19 บาท ราคาตัดขาดทุน 17 บาท
ข่าวเด่น