“AECS” มองปัญหาสงครามการค้าทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นแนะลงทุนหุ้น Defensive -Growth ชูTPCH - SSP – TTW - BAFS – KBANK - SAWAD เด่น
บล.เออีซี มองตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลงต่อเหตุสงครามการค้าทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลังสหรัฐฯประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติโดยออกคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมของบริษัทหัวเว่ยและบริษัทในเครือเพื่อความมั่นคงทางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ส่วนจีนนั้นตอบโต้สหรัฐฯโดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯด้วยอัตราภาษีที่ระดับ 20-25% บวกกับ Bloomberg Consensusซึ่งจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง PE ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ Valuationไม่น่าสนใจ แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Defensive -Growth ชู TPCH - SSP – TTW - BAFS – KBANK - SAWAD เด่น
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน)หรือAECS ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากปัจจัยกดดันการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของ Bloomberg Consensusซึ่งจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง PE ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้Valuationไม่น่าสนใจและปัญหาสงครามการค้าทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งแนะจับตาประเด็นการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยหากเกิดกรณีสัดส่วนใกล้เคียงกันระหว่างจำนวน ส.ส. และฝ่ายค้าน
ส่วนปัจจัยต่างประเทศสหรัฐฯประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติโดยออกคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมของบริษัทหัวเว่ยและบริษัทในเครือเพื่อความมั่นคงทางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ส่วนจีนนั้นตอบโต้สหรัฐฯโดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯด้วยอัตราภาษีที่ระดับ 20-25% มูลค่าสินค้า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มิ.ย. 2562 หลังสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ระดับ 25% มูลค่าสินค้า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยบวกจากกลุ่ม OPEC ส่งสัญญาณขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงไปจนถึงปลายปีนี้หลังการประชุมที่ซาอุฯเสร็จสิ้น โดยก่อนหน้านี้กลุ่ม OPEC รัสเซียและพันธมิตรตกลงปรับลดกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นระยะเวลา 6 เดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2562 เพื่อป้องกันไม่ให้สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นและรักษาระดับราคาน้ำมันไม่ให้อ่อนตัว
ดังนั้นท่ามกลางความผันผวนแนะนำลดพอร์ตการลงทุนถือเงินสดให้มากขึ้น หากดัชนีย่อแถว1,600 จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นใน 1 กลุ่ม Defensive,1 กลุ่ม Growth และ1กลุ่มราคาถูก เช่น กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงทางกระแสเงินสด
จากการดำเนินงาได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ TPCH (แม้ช่วง 1Q62 กำไรโตเพียง 4.4%YoY เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 10 MW) และ SSP (ช่วง 1Q/62 กำไรโต 16.4%YoY จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายได้ของโครงการต่างๆ และการบริการรับเหมาก่อสร้างโซลาร์บนหลังคาโดยปี 62 ตั้งเป้า COD เพิ่มอีก 65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16 MW และโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1MW จากปี 61 ที่ 90.4MW)
นอกจากนี้มองกลุ่มสาธารณูปโภคเป็น OASIS ยามเมื่อตลาดหุ้นไทยผันผวน เลือก TTW (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 โต 10.4%YoY หลังรายได้ขายน้ำประปารวมของทั้ง TTW และ PTW เพิ่มขึ้น 4%YoY ตามความต้องการใช้น้ำประปาของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น บวกกับส่วนแบ่งกำไรจาก CKP (TTW ถือหุ้น 25.3%)เพิ่มขึ้นจากเพียง 3.2 ลบ. ในช่วง 1Q61 เป็น 35.3 ลบ. สอดคล้องกับปริมาณขายไฟที่มากขึ้นของโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2) และ BAFS (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 เติบโต 7.8%YoY จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%YoY ส่วนปี 62ตั้งเป้ารายได้โต 10%YoY และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4-5%YoY ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร ปี 62 ราว 200 ลบ. และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)
รวมทั้งยังแนะนำกลุ่มธนาคาร มองหุ้นกลุ่มนี้ Cheap Valuation เนื่องจากราคาปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน BANK Sector เทรดที่ระดับ Trailing PBV 1x (ขณะที่ Downside ตอน Hamburger crisis ลงไปประมาณ 0.7x-0.8x) ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg พบว่า Total Return ของ SETBANK Index ตั้งแต่ Hamburger crisis จนถึงปัจจุบันเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ระดับ 8.11% ซึ่งหากเรา Implied ว่าเป็นระดับ Cost of Equity ในอนาคต จะพบว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่า Expected ROE (Bloomberg Consensus) ซึ่งปี 62 คาดไว้ที่ 9.49% และปี 63 คาดไว้ที่ 9.63% ดังนั้น BANK Sector ควรจะเทรดมากกว่า BVPS ตาม GGM ทั้งนี้ TOP PICK เลือก KBANK ด้วยเหตุผลและหลักการคล้ายกับแนวคิดข้างต้นบวกกับคุณภาพสินเชื่อที่ยังดี
สุดท้ายกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ คาดมีโอกาสเติบโตได้ดีจากอัตราการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการกู้ยืมเงินของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ยังมีอยู่มากและได้รับผลบวกจากการที่ธปท. เข้ามาควบคุมด้านกฏระเบียบอย่างเข้มงวดทำให้คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในกลุ่มของผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบมากขึ้นดังนั้นเราจึงมองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในสัปดาห์ก่อนเป็นจังหวะที่น่าซื้อสะสมแนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี 62 โต 30.8%YoYหนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300-400 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นและ
ต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร)และ MTC (คาดกำไรปี 62 โต 20.9%YoY หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่ตามเป้า ณ สิ้นปีที่ 3,900 สาขาต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลงหลัง TRIS ปรับเพิ่ม Rating ของบริษัทขึ้นและภาระตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่น้อยลง)
ข่าวเด่น