บล.กสิกรไทยปรับเป้าSET Index 12เดือนข้างหน้าแตะ1,775 จุด ลุ้นสิ้นปีดัชนีแตะ 1,800 จุด หากผ่านแนวต้านสำคัญ1,760 จุดไปได้ มองกนง.คงดอกเบี้ยตลอดปี จับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล
นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้าเป็น 1,775 จุด จากเดิมคาดจะอยู่ที่ 1,725 จุด ขณะที่กรอบระยะสั้น 1 เดือน คาดดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,660-1,760 จุด ส่วนดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปี หากผ่านแนวต้านที่สำคัญที่ 1,760 จุดได้ มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีหุ้นไทยแตะที่ระดับ 1,800 จุดได้ในสิ้นปีนี้ และประเมินกำไรมองอัตรากำไรต่อหุ้น(EPS)ปี 2562อยู่ที่ 105.9 บาท ภายใต้กรอบดัชนี 1,775 จุด ส่วนปี 2563 อยู่ที่ 116.1 บาท
ทั้งนี้มองว่าปัจจัยที่สนันสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นมาจากถ้อยแถลงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางหลัก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)และธนาคารกลางยุโรป (ECB)ที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield)ของโลกและในประเทศปรับลดลงอย่างมาก ส่วนสงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศจีน และประเทศสหรัฐนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังคงเดิม โดยคาดว่าจะมีคณะรัฐมนตรี (ครม.)ชุดใหม่ ภายในเดือนก.ค.นี้
สำหรับปัจจัยที่ยังต้องติดตามในระยะสั้นนั้นคือ การประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซียในวันที่ 17-18 ก.ค.ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นประเทศที่ 3ของอาเซียน ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในอย่างไรก็ตามในปีนี้บล.กสิกรไทยยังมองว่า ธปท.จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75%ต่อปี เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายและเสถียรภาพทางการเงิน
ส่วนการเมืองในประเทศนั้นมองว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาหนุนตลาด โดยปัจจัยที่นักลงทุนจับตามองคือ ภายหลังจากจัดตั้งรัฐบาลนโยบายสำคัญ และนโยบายแรกที่จะออกมา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจทันที โดยเฉพาะมาตรการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่อย่างไรก็ตามควรที่จะมีนโยบายที่เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยในประเทศยังน่าสนใจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยหุ้นที่น่าสนใจ เช่น CPALL ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ CK STEC ได้ประโยชน์จากการเร่งประมูลโครงการของภาครัฐ AMATA ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทำให้เกิดการย้ายฐานจากจีนมายังประเทศเวียดนาม
ด้านกลุ่ม ICT คงมีมุมมองเป็นบวกเพราะการเติบโตของรายได้กลุ่มมือถือ จากการแข่งขันด้านราคาที่ผ่อนคลายลง และการประเมินโอกาสที่ต้นทุนจะลดลงหลังยุติการให้บริการ 2G
รวมถึงในระยะยาวหากอันดับเครดิตเรตติ้งประทศถูกขึ้น อาทิ S&P จากระดับ BBB+ เป็น A- ก็จะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่จะได้รับการปรับอันดับดีขึ้น และกลุ่มบริษัทในเครือ ปตท.ที่มีการก่อหนี้ต่างประเทศ ซึ่งจะให้มีต้นทุนการเงินที่ต่ำลง ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าไม่ได้ส่งผลเสียต่อกำไร บจ.โดยรวม
ข่าวเด่น