หุ้นทอง
วัฏจักรเศรษฐกิจบอกจังหวะเลือกลงทุนสินทรัพย์ ตัวช่วย "สร้างผลตอบแทนที่ดี-โอกาสลงทุนสำเร็จสูง"


คุณในฐานะผู้ลงทุนมือใหม่ คงสงสัยสินะว่า เอ! ทำไมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ถึงต้องเอาตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาประกอบกับการตัดสินใจลงทุน ซึ่งการลงทุนในหุ้น ดูแค่ตัวธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ที่เข้าไปลงทุนอย่างเดียวไม่เพียงพอเหรอ! 

 

ต้องขอบอกว่า ไม่เพียงพอ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจมีผลต่อการลงทุนในหุ้นเช่นกัน เพราะบางกิจการมีปัจจัยตัวแปรจากตัวเลขการส่งออก การนำเข้า การลงทุน การบริโภค การใช้จ่ายภาครัฐ เป็นต้น เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และอาจมีผลกระทบในทางบวกและลบต่อตัวธุรกิจได้

 

นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวถ้าประกาศออกมาดีก็จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเชิงบวกทำให้หุ้นขึ้น ในทางกลับกันหากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดีหุ้นก็ลง

 

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจก็มีหลากหลายตัวเลข ซึ่งบางตัวเลขก็มีการประกาศผ่านสื่อต่างๆ เกือบทุกวัน ดังนั้นวันนี้ "มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ" ขอแนะนำคุณผู้ลงทุนมือใหม่ ให้ตามดูแค่ 2 ตัวเลขที่สำคัญก็พอ ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะทำให้คุณเห็นภาพเศรษฐกิจปัจจุบันว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง แถมยังช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ได้ด้วย

 

 

 

สำหรับ ตัวเลขแรก คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือตัวเลขการขยายตัวของจีดีพี (Gross Domestic Product หรือ GDP) ซึ่งเป็นตัวเลขที่แทบจะนำตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวมาสะท้อนรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ การส่งออก และการนำเข้า

 

ส่วนตัวเลขที่สอง คืออัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดราคาสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภคนั้น ปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยมากน้อยเพียงใด เช่น เงินเฟ้ออยู่ที่ 3% หมายถึง ราคาสินค้าแพงขึ้นเฉลี่ย 3% ซึ่งกรอบเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ระหว่าง 0-3.5%

 

โดยปกติตัวเลขทั้ง 2 ตัวนี้มักจะไปด้วยกัน นั่นก็คือ เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจขยายตัวเงินเฟ้อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจหดตัว เงินเฟ้อก็ปรับลดลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจ

 

 

 

 

จากภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ย่อมทำให้การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มีความแตกต่างกันไปด้วย โดยภาวะเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะฟื้นตัว (Recovery) ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลังจากเผชิญภาวะตกต่ำถึงขีดสุด เงินเฟ้อยังอยู่ยังในระดับต่ำ สินค้าที่เหลือค้างสต็อกค่อยๆ ทยอยขายออกราคาสินค้าเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น ผลประกอบการของธุรกิจดีขึ้น การผลิตเพิ่มขึ้น การจ้างงานสูงขึ้น ประชาชนมีรายได้ดีขึ้น สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการลงทุน ทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น

 

ดังนั้นคุณจะสังเกตระยะฟื้นตัวได้อย่างไรให้คุณดูจาก GDP Growth จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดต่อกัน

 

แล้วจะลงทุนอย่างไร?  โดยในช่วงเวลานี้เหมาะกับการลงทุนใน “หุ้น” มากที่สุด เพราะหุ้นจะได้ผลบวกโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และเศรษฐกิจที่ขยายตัว ในขณะที่ตราสารหนี้และเงินฝากจะได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า

 

ระยะเฟื่องฟู (Peak) ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจผ่านช่วงฟื้นตัว และก้าวเข้าสู่ช่วงขยายตัว เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้มากกว่าเงินเฟ้อ การผลิตขยายตัวสูง การจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เป็นระยะที่ซื้อง่ายขายคล่อง ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จนอาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อ

 

สังเกตระยะเฟื่องฟูอย่างไรดูจาก GDP Growth จะเริ่มปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

แล้วควรลงทุนอย่างไร? ในช่วงเวลานี้ เหมาะกับการลงทุนใน “ทองคำ” มากที่สุด เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเองและป้องกันเงินเฟ้อได้ดี แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นไม่น่าสนใจ เพียงแต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงนี้ จะเต็มไปด้วยความผันผวน การกำหนดกลยุทธ์ลงทุน จึงทำได้ยาก

 

 

ระยะถดถอย (Recession) จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอการขยายตัว หลังจากเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงขึ้น ผลประกอบการของธุรกิจต่ำลง การผลิตและการจ้างงานลดลงประชาชนมีรายได้ลดลง

 

สังเกตระยะถดถอยอย่างไร? ระยะนี้ GDP Growth ติดลบต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส (QoQ) หาก GDP Growth ลดลง แต่ไม่ถึงกับติดลบ ก็จะเป็นแค่ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ

           

แล้วจังหวะนี้ลงทุนอย่างไร? ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่ไม่ควรลงทุนในหุ้นมากที่สุด เพราะกำไรของบริษัทจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก รวมถึง “ตราสารหนี้” ก็ไม่น่าสนใจ เพราะดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ ดังนั้นระยะที่เศรษฐกิจถดถอย “เงินฝาก” จึงเป็นทางเลือกที่ดีสุด เพราะคุณจะได้รับดอกเบี้ยสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่ขยับเพิ่มขึ้น

           

และระยะตกต่ำ (Trough) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะหดตัวอย่างเต็มตัว เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวลดลง สินค้าเหลือค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการลดการผลิต ลดการจ้างงาน ประชาชนไม่ค่อยมีกำลังซื้อ เพราะรายได้ลดลงมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

           

ในระยะนี้จะสังเกตอย่างไรโดยดูได้จากตัวเลข GDP Growth หดตัว จนทำจุดต่ำสุดใหม่ และมีอัตราการว่างงานสูงสุด

           

ดังนั้นระยะนี้จะลงทุนอย่างไร? สำหรับช่วงเวลานี้หุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก แต่ “ตราสารหนี้” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและได้รับผลประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง จึงมีความน่าสนใจมากกว่า

           

 

ดังนั้นสรุปได้ว่า... วัฎจักรเศรษฐกิจนั้น จะส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุน หากคุณรู้ว่า ปัจจุบันคุณอยู่ในช่วงใดของวัฏจักรเศรษฐกิจ คุณก็สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจนั้นๆได้ ซึ่งจะช่วยคุณสร้างผลตอบแทนโดยรวมที่ดี และมีโอกาสประสบความสำเร็จกับการลงทุนในที่สุด


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 11 ก.ค. 2562 เวลา : 16:48:54
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 3:52 am