หุ้นทอง
Top Down vs Bottom Up - เทคนิควิเคราะห์หุ้นสายปัจจัยพื้นฐาน


หากคุณตัดสินใจก้าวเข้าสู่การลงทุนในตลาดหุ้น มักจะมีคำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งเกิดขึ้นทันทีที่คุณเปิดพอร์ตจะเลือกหุ้นยังไง

 

ขอบอกว่า การตั้งคำถามแบบนี้ ถือเป็นคำถามที่สร้างสรรค์ และเป็นคำถามที่ดี เพราะนั่นแสดงว่า คุณมีแนวโน้มที่ต้องการอยากจะเลือก อยากวิเคราะห์ อยากคัดสรรหุ้น ไม่ลงทุนตามข่าวหรือลงทุนซื้อมั่วๆ ไปตามกระแสข่าวสารที่ได้รับ

 

 

 

ดังนั้น คำถามต่อมาที่คุณอยากได้คำตอบ ก็คือ แล้วเทคนิคการเลือกหุ้นต้องทำยังไงบ้าง มีกี่แบบอะไรบ้าง "มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ" ขอแนะนำเทคนิคการเลือกหุ้นมาฝาก ซึ่งเอาง่ายๆ แบบมือใหม่ ก็มี 2 แบบ เพราะเป็น 2 แบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะผู้ลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน มีดังนี้...

     

การวิเคราะห์แบบ Top Down ถ้าแปลแบบตรงๆ ก็คือ วิเคราะห์จากบนลงล่าง โดยมองจากภาพใหญ่ที่สุด แล้วก็ลงมาที่ภาพเล็ก (ตัวหุ้น) หรือการวิเคราะห์การลงทุน โดยพิจารณาจากเศรษฐกิจโดยรวมก่อน วิธีนี้จัดว่าถูกต้องตามทฤษฎี นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และ ผู้ลงทุนสถาบัน ใช้กันเยอะ

         

ตัวอย่างเช่น นาย A สนใจที่จะลงทุนหุ้น และมองแบบ Top Down คุณอาจเริ่มจาก...

 

ภาพใหญ่ที่สุด คือ ภูมิภาค ตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น หรือ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) สมมติว่าสนใจตลาดเกิดใหม่ ก็ไปดูต่อว่า มีประเทศอะไรบ้าง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บราซิล เวียดนาม ฯลฯ โดยพิจารณาแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเมือง และโครงสร้างประชากร สมมติว่าเลือก ประเทศไทย เพราะเป็นประเทศที่เราลงทุนได้ใกล้ชิด และยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่

 

 

         

 

ภาพรองลงมา คือ อุตสาหกรรม โดยดูว่าอุตสาหกรรมใดที่เติบโตเป็นอุตสาหกรรมขาขึ้น มีแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น เช่น ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นดาวเด่น มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจมานาน และยังคงแนวโน้มโตเร็วต่อไป ซึ่ง “อาหาร” “โรงแรม” หรือ “สนามบิน” เป็นอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับประโยชน์

         

 

ส่วนภาพเล็กลงมาอีก คือ ปัจจัยเชิงคุณภาพของหุ้นในอุตสาหกรรมที่เลือก เช่น กลุ่มโรงแรม นักลงทุนอาจจะหยิบหุ้นใหญ่เบอร์ 1 หรือ เบอร์ 2 ของกลุ่มออกมา เพื่อนำมาวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ความได้เปรียบในการแข่งขันแนวโน้มความต้องการ สินค้าและบริการในอนาคต เรื่องราวการเติบโต และความสามารถ ผู้บริหาร ถึงจุดนี้...จะได้รายชื่อหุ้นที่ติด Watch List ออกมา

         

 

และภาพสุดท้าย คือ การวิเคราะห์หุ้นรายตัว คุณต้องนำมาแกะรอยงบการเงิน วิเคราะห์ความน่าสนใจของหุ้นผ่านงบการเงินต่างๆ รวมทั้งลองประเมินมูลค่าหุ้น หาราคาเข้าซื้อเก็บไว้ในใจ จนเมื่อได้ตัวบริษัทที่เราพอใจ ในราคาที่เหมาะสม ก็เริ่มลงทุนซื้อหุ้นได้

         

 

 

การวิเคราะห์แบบ Bottom Up ก็วิเคราะห์จากล่างขึ้นบน คือ มองจากตัวหุ้นที่เราปิ๊งเลย เช่นปิ๊งหุ้น B เพราะหุ้นตัวนี้ มีชื่อชั้นดี กิจการทั้งมั่นคงและเติบโต แต่มาเจอข่าวร้ายระยะสั้น ทำให้ราคาปรับตัวลงเร็วมาก ทั้งที่ค่าพื้นฐานอย่าง ROE, Profit Margin และ Dividend Yield ยังดีเยี่ยม แต่ทำไมนะ?

 

คุณก็หยิบมาวิเคราะห์งบการเงินว่าที่ผ่านมา ดีขึ้น หรือแย่ลง ดูคู่แข่ง ผู้บริหาร อุตสาหกรรม เทรนด์ เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ พูดง่ายๆ คือ มองจากภาพย่อยของตัวหุ้นขึ้นไปหาภาพใหญ่ ถ้าราคาหุ้นตกลงไปมากกว่าพื้นฐานที่คุณวิเคราะห์เจาะลึก นั่นแสดงว่า คุณกำลังเห็นโอกาส เมื่อวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้วก็ลงมือซื้อหุ้นได้

         

การวิเคราะห์หุ้น ไม่ว่าจะเป็น Top Down หรือ Bottom Up ต่างก็เป็นเทคนิคการวิเคราะห์หุ้นสายปัจจัยพื้นฐาน ที่มีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากทั้งสองวิธี มองปัจจัยที่หลากหลาย เพียงแต่วิธีหนึ่งมองจากภาพใหญ่ไปหาตัวหุ้น ส่วนอีกวิธีมองจากตัวหุ้นไปหาภาพใหญ่นั่นเอง

         

ดังนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณในฐานะผู้ลงทุน ต้องดูว่า คุณถนัด เข้าใจ หรือชอบวิธีไหน เลือกใช้ได้ตามความต้องการได้เลย ขอแค่คุณต้องรู้จักวิเคราะห์ก่อนซื้อหุ้นเป็นพอ เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็ลองมาลงมือวิเคราะห์หุ้นจริงในตลาดเลย จะได้ช่วยพัฒนาทักษะการวิเคราะห์หุ้นนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพ


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ก.ค. 2562 เวลา : 14:59:09
28-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 28, 2024, 5:47 am