นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่าปัจจุบันเรากำลังกลับเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง เห็นได้จากปีนี้มีมากกว่า 30 ประเทศ เริ่มทยอยปรับลดนโยบายดอกเบี้ยลง ทั้งสหรัฐฯ อินเดีย เกาหลี เพื่อพยุงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี เหลือ 1.50 % ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางขาลงของอัตราดอกเบี้ยโลก
อย่างไรก็ตาม บลจ.กรุงไทย มองว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ โดยปัจจุบันอัตราเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกอง REIT โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.12% ต่อปี มากกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 1.84% ต่อปี ทำให้ผลต่างของเงินปันผลและพันธบัตรรัฐบาลไทย (Dividend Yield Gap) อยู่ที่ระดับประมาณ 3.28% ต่อปี
นอกจากนี้ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกอง REIT ของไทยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 5.87 % ต่อปี และหากนำเงินปันผลดังกล่าวกลับไป Reinvestment ในดัชนีกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกอง REIT จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ถึงปีละ 13.59% ต่อปี รวมถึงเมื่อลองเปรียบเทียบความผันผวนระหว่าง SETPREITกับดัชนี SET Index ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าค่าความผันผวนของ SETPREIT ต่ำกว่า SET Index (ที่มา : Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2562)
นางชวินดา กล่าวว่าภาวะผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรที่ลดลง กองทุนเปิดกรุงไทย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (KT-PIF) จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก กองทุนนี้เป็นกองทุนผสมที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมีผลตอบแทนจากต้นปีสูงที่สุดของ บลจ.กรุงไทย (ที่มา: บลจ.กรุงไทย ข้อมูล ณ 31 กรกฎาคม 2562) มีนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงและมีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ทรัพย์สินในกองทุนมีคุณภาพและมีแนวโน้มการสร้างรายได้ที่ดี รวมถึงการวิเคราะห์ภาพรวมรายภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้มีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยกองทุน KT-PIF มีทั้งแบบสะสมมูลค่า (KT-PIF-A) และแบบปันผล (KT-PIF-D) เพิ่มทางเลือกแก่นักลงทุนที่ต้องการได้รับเงินปันผลอีกด้วย ซึ่งในปีนี้ กองทุน KT-PIF-D ได้จ่ายเงินไปผลไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.97 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้กองทุน KT-PIF มีการลงทุนใน Property Fund & REITs ในประเทศไทย ประมาณ 50-60% ลงทุนใน REITs สิงคโปร์ ประมาณ 40-50% ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน KT-PIF-D ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ( 2 ม.ค.-31 ก.ค. 62) อยู่ที่ 20.75 % ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 8.26% ย้อนหลัง 6 เดือนที่ 15.24 % ย้อนหลัง 1 ปี ที่ 22.59% และย้อนหลัง 3 ปี ที่ 10.29 % เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตัวเทียบวัด (Benchmark) ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 อยู่ที่ 18.79% ย้อนหลัง 3 เดือนที่ 6.27% ย้อนหลัง 6 เดือนที่ 14.26 % ย้อนหลัง 1 ปี ที่ 18.73% และย้อนหลัง 3 ปี ที่ 9.81%
ข่าวเด่น