บล.โกลเบล็กมองตลาดหุ้นไทยยังผันผวนต่อเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศ อาทิ สงครามการค้า สถานการณ์เศรษฐกิจโลก การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด จึงแนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Defensive Stock และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,625-1,645 จุด
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือGBSประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่ายังคงแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากยังมีความกังวลในเจราระหว่างจีนกับสหรัฐในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ เพื่อสรุปรายละเอียดข้อตกลงก่อนลงนาม และหากการหารือไม่เป็นผลและไม่มีการทำข้อตกลงก่อนถึงกำหนดเวลา ทางสหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าจีนตามกำหนดเดิมในวันที่ 15 ธ.ค. 2562
นอกจากนี้ทาง นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ได้ออกมาสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ตรึงดอกเบี้ย หลังได้ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง แม้มีความเสี่ยงในปัจจุบันจากการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวก็ตาม ดังนั้นจึงประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,625-1,645 จุด
ส่วนประเด็นที่น่าสนใจ อาทิในวันที่ 17-19 ต.ค.จะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ พิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ในวันที่ 22 ต.ค. กระทรวงการคลังคลังเตรียมเสนอ“ชิมชอปใช้”เฟส 2 เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 29-30 ต.ค. ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประชุมนโยบายการเงิน ซึ่งจะทราบผล 31 ต.ค. เวลาในประเทศไทย และในวันที่ 31 ต.ค.ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยและวันเดียวกันกำหนดเวลา Brexit
นางสาว วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยขานรับปัจจัยบวก จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)เศรษฐกิจอนุมัติ 16 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเน้นดึงต่างชาติเข้าไทย และกระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการ "ชิม ช้อป ใช้" เฟส 2 เข้า ครม.22 ต.ค.นี้
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นหุ้น Defensive Stock (Beta <1 yield >5%) เช่น TISCO, SPF RSP, TWPC, DIF และ GPI รองลงมาหุ้นได้ประโยชน์จากโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” เช่น ROBINS, BJC, MAKRO, SPA ERW, TNP และ CPALL) รวมทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกันรายได้และมาตรการเสริมพยุงราคายางพารา ได้แก่ NER, STA และ TRUBB
ข่าวเด่น