ดัชนีมีการปรับตัวลงแรงทำ New low ในรอบสองสัปดาห์และเป็นการหลุดระดับ 1,600 จุดอีกด้วย โดยดัชนีได้ไหลลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,592 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับครั้งที่แล้วในรอบ 2 เดือนกว่าที่ 1,590 จุด ท่ามกลางสภาพตลาดโดยรวมดูไม่ค่อยดีนักจากประเด็นเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมีและประเด็นสงครามการค้ารวมทั้ง Brexit ของอังกฤษ
ดังนั้นวันนี้ (28ต.ค.) หากดัชนีดีดกลับขึ้นปิดเหนือระดับ 1,600-1,603 จุดไม่ได้อีกหรือหลุดลงไปทำ New low ต่ำกว่า 1,590 จุด ดัชนียังอาจซึมลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,582 จุดอีกครั้ง แต่ถ้าไม่หลุดดัชนีน่าจะได้ลุ้นรีบาวด์ขึ้นต่อแถวๆ 1,617 จุด
ส่วน 3 หลักทรัพย์ที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ ได้แก่ BEM มีแนวรับ 10.80-10.70 บาท โดยมีแนวต้านที่ 11.00-11.10 , 11.40 บาท ซึ่งระดับราคาเริ่มดีดกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 10.90 บาทได้แล้ว ซึ่งเป็นการดีดกลับขึ้นมาจากการประคองตัวไม่หลุดลงไปทำ New low ต่อเนื่องในรอบ 3 สัปดาห์ได้ อีกทั้งเริ่มมีวอลุ่มซื้อขายเพิ่มสูงขึ้น
หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่า 10.80-10.70 บาทซะก่อน ระดับราคาน่าจะได้ลุ้นดีดกลับขึ้นต่อได้แถวๆ 11.00-11.10 บาท ก่อนผ่านขึ้นทดสอบ 11.40 บาทต่อไป
หุ้น PTL มีแนวรับ 13.10 บาท และมีแนวต้านที่ 13.60-13.70 บาท โดยระดับราคาประคองตัวดีดกลับขึ้นมาปิดในกรอบ Bollinger Bottom ได้ อีกทั้งยังปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้อีกด้วย ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวนและวอลุ่มซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
หากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันแถวๆ 13.20-13.10 บาทซะก่อน ราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับขึ้นต่อแถวๆ 13.60-13.70 บาทต่อไป
และหุ้น BSM มีแนวรับ 0.39 บาท และมีแนวต้าน 0.41 , 0.43-0.44 บาท โดยราคาหลุดลงไปทำ New low อีกเล็กน้อย และหลุดลงไปต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 25 และ 75 วัน ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาปิดเหนือได้ในช่วงท้ายตลาด ขณะที่วอลุ่มซื้อขายค่อนน้อย ดังนั้นหากวันนี้ระดับราคาไม่ถอยกลับลงมาหรือปิดต่ำกว่า 0.39 บาทอีก ระดับราคาจึงจะมีลุ้นดีดกลับสั้นๆ แถวๆ 0.41 บาท ผ่านได้ลุ้นต่อ 0.43-0.44 บาทต่อไป
ส่วนตลาดทองคำนั้น ปรากฏว่าภาวะตลาดทองคำสัปดาห์ที่ผ่านเมื่อถึงเมื่อเวลา 11.00 น วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2562 โดยราคาทองคำล่าสุดอยู่ที่ 1,502.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่บริเวณ 1,490.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เท่ากับเปลี่ยนแปลงปรับขึ้น 11.71 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระหว่างสัปดาห์แกว่งตัวแคบหลังจากตลาดยังไม่มีประเด็นใหม่ชัดเจนมากระทบต่อราคาทองคำ
ราคาทองคำโลกสัปดาห์ที่ผ่านมาผันผวนมากพอสมควร โดยทำจุดต่ำสุดและสูงสุดไว้ที่ 1,480.87-1,504.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เริ่มต้นสัปดาห์ราคาทองคำปรับลงหลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเหตุผลยังคงมาจากการเจรจาประเด็นสงครามการค้าที่ยังดูมีความหวังว่าจะดีขึ้น ส่งผลให้ราคาปรับลงไปถึงระดับ 1,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ในช่วงกลางสัปดาห์ถึงปลายสัปดาห์ ราคาทองคำโลกดีดขึ้นหลังตัวเลขสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐประจำเดือนกันยายนที่ผ่านมาลดลงมากสุดในรอบ 4 เดือน สนับสนุนความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม FOMC ช่วงสิ้นเดือนนี้
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงแข็งค่า 0.065 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งล่าสุดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 30.215 บาทต่อดอลลาร์ จากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 30.280 บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างสัปดาห์อยู่ระหว่าง 30.205-30.320 บาทต่อดอลลาร์
ดังนั้นราคาทองคำแม้จะถูกกดันจากการเจรจาสงครามการค้าที่ดีขึ้นแต่มุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ จีน รวมถึงทั้งโลกยังเป็นลบอยู่ ซึ่งจะเป็นประเด็นกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้ม อาจจะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะจำกัดการปรับลงของราคาทองคำโลก จึงเป็นโอกาสให้สะสมทองคำเพิ่มสำหรับคนที่สนใจ
คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนวรับที่สำคัญและควรเข้าไปซื้อคืน ยังอยู่ในช่วง 1,450-1,475 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาปรับลงมาใกล้โซนแนวรับล่าง เป็นโอกาสเข้าสะสมซื้อสำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น เป้าหมายทำกำไรจะยังอยู่ 1.505-1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากยืนเหนือ 1,505 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ให้ซื้อตามเพิ่มเติม
โดยเป้าหมายระยะสั้นอยู่ที่ 1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากผ่านได้ก็ควรซื้อเก็งกำไรตามเพิ่มเติม คาดภายในสิ้นปีนี้ยังมีโอกาสที่ธนาคารกลางสำคัญๆหลายแห่งจะยังลดดอกเบี้ย
ส่วนนักลงทุนระยะยาว ยังแนะนำถือทองคำต่อไป โดยหากราคายืนเหนือ 1,560 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ เป้าหมายระยะยาวถัดไปจะเป็น 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ทันที
ข่าวเด่น